แม้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน แต่โปรไฟล์อันเลิศหรู หรือโทรฟี่ความสำเร็จที่ชายผู้นี้เคยฝากไว้กับทีมระดับหัวแถวมากมายกลับไม่มีความหมายเลยในฤดูกาลนี้ เพราะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่คว้าแชมป์ลีกมากที่สุดในอังกฤษ กำลังตกอยู่ในสถาการณ์ที่ “ตกต่ำ” หลังมีแต้มตามหลังคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ที่นำเป็นจ่าฝูงอยู่ที่ 19 แต้ม !!!
ข่าวไม่กินเส้นกับนักเตะคีย์แมนของทีมหลายๆ คน แทคติกการเล่นอันไร้จินตนาการจนกลายเป็น “บอร์ริ่ง ฟุตบอล” เมื่อบวกกับความพ่ายแพ้ที่ แอนฟิลด์ ชนิดที่ “สู้ไม่ได้” อย่างสิ้นเชิง ชื่อของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็กลายเป็นเพียงอดีตของโรงละครแห่งความฝัน
2012/2013 คือซีซั่นสุดท้ายที่ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกมาครอง นั่นหมายความว่า ตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน “ปีศาจแดง” ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นนั่นคือ “ แชมป์” ได้เลย
ทุกคนล้วนแต่คาดหวังการเข้ามาของ มูรินโญ่ ว่า ยูไนเต็ด คงจะกลับสู่เส้นทางความสำเร็จได้อย่างทันควัน ทั้งประสบการณ์ บารมี คาแรกเตอร์ กึ๋น และแทคติกระดับเขี้ยวลากดิน แต่แชมป์ยูโรป้า ลีก และลีก คัพ นั้นไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มความรู้สึกแฟนๆ “เร้ด เดวิลส์” ได้เลยแม้แต่น้อย
ตัวเลข และสถิติ คือข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะเกมรับที่เสียไปถึง 29 ประตูจาก 17 นัด ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าการลงเล่นทั้งฤดูกาลในซีซั่นที่แล้ว
ฟอร์มการเล่นที่ร่วงหล่นอย่างน่าใจหาย การคว้าชัยได้เพียงแค่เกมเดียวจาก 6 นัดหลังสุดในลีก คือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด ยิ่งทีมคู่แข่งในลีกทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล กำลังยกมาตรฐานของทีมหนีห่างไปเรื่อยๆ ทั้งตัวนักเตะ และวิธีการเล่น ฉะนั้น หนทางเดียวที่บอร์ดบริหารจำเป็นที่จะต้องหยุด เพื่อไม่ให้ ยูไนเต็ด ตกต่ำไปมากกว่านี้ก็คือ “แยกทาง” กับ มูรินโญ่
การตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การปลดผู้จัดการทีมคนหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือการ “Set Zero” ที่อาจจะทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมามีแพสชั่นในการลงสนามเพื่อ “ศักดิ์ศรี” ตราบนหน้าอกข้างซ้าย และเล่นเพื่อแฟนบอล “ปีศาจแดง” ทั้งโลกที่ชอกช้ำว่างเปล่ามาร่วมครึ่งทศวรรษ
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คือชื่อที่ถูกเรียกกลับมารับบทบาทสำคัญในวันนี้ ด้วยความเป็นอดีตลูกหม้อ ศิษย์ก้นกุฏิของป๋าเฟอร์กี้ คาแรกเตอร์ความเป็นนักสู้ มีความอดทนอดกลั้นเหมือนกับที่เขาเคยพิสูจน์ให้เห็นยามเป็นนักเตะ…เมื่อรวมกับ เลือดความเป็น “ยูไนเต็ด 100%” บางที โซลซาร์ อาจจะทำได้ดีกว่าการเป็น “ซูเปอร์ซับ” กว่าที่เขาเป็นมาทั้งชีวิต
ช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้จนจบฤดูกาล คือช่วงเวลาสำคัญที่ โซลชา ต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองว่า บางที เขานี่แหละที่คู่ควรกับการเป็นกุนซือของยูไนเต็ดมากที่สุด โดยไม่ต้องหันไปมองตัวเลือกอื่นๆ ตามข่าวอย่าง เมาริซิโอ “พอช” โปเช็ตติโน่ หรือซีเนอดีน ซีดาน
ที่คือการเดิมพันครั้งสำคัญของสโมสรที่เต็มไปด้วยเกียรติประวัติ และประวัติศาสตร์ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด… ไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจหนนี้จะถูก หรือผิด แต่ที่แน่ๆ มัน “ถึงเวลา” ที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ