ชัยชนะเหนือ นิวคาสเซิ่ล 4-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติที่สวยงามอีกครั้งด้วยการคว้าชัยในลีก 8 นัดติดต่อกัน ที่สำคัญพวกเขายังเดินหน้าล่าโทรฟี่แชมป์อย่างต่อเนื่องด้วยการทิ้งห่างรองจ่าฝูงอย่าง สเปอร์ส ถึง 6 คะแนน เช่นเดียวผลการแข่งขัน ณ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ที่ทำให้ “หงส์แดง” ขยับปีกหนี “เรือใบสีฟ้า” ไปไกลถึง 7 แต้ม
51 คะแนน พร้อมกับสถิติไร้พ่าย คือตัวเลขที่ ลิเวอร์พูล ทำได้หลังผ่านครึ่งทางของพรีเมียร์ลีก แน่นอน พวกเขาถือเป็นทีมเต็งแชมป์อย่างเต็มตัว นักเตะหลายๆ คนในทีมยังรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ที่สำคัญ พวกเขายังมีขุมกำลังที่ “ใหญ่พอ” และ “ดีกว่า” ทุกซีซั่นที่ผ่านมา
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจ ความมั่นใจกำลังถาโถมเข้าใส่รั้วแอนฟิลด์ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างที่ทำตัวคล้ายกับเงาทะมึนที่ค่อยแผ่ปกคลุมความสุขของเหล่า “เดอะ ค็อป” นั่นคือ โปรแกรมสองนัดถัดไปของ ลิเวอร์พูล นั่นเอง
#อาร์เซน่อล คือผู้ท้าชิงรายแรกที่ “หงส์แดง” ต้องเผชิญ จริงอยู่ที่ยอดทีมจากกรุงลอนดอนอาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดหลังไม่ชนะใครมาสามนัดในลีกยามต้องลงเล่นในฐานะทีมเยือน แถมคีย์แมนอย่าง เฮนริค มคิทาร์ยาน และชโครดาน มุสตาฟี่ ยังโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน แต่ด้วยการที่ทัพ “ปืนใหญ่” มีกุนซือสมองเพชรอย่าง อูไน เอเมรี่ อยู่ บวกกับหัวหอกดาวซัลโวอย่าง ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมยอง และจอมทัพระดับโลกอย่าง เมซุต โอซิล บัญชาการอยู่ในสนาม เชื่อว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในเกมที่ยากที่สุดของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่เปิดรังเจ๊า แมนฯ ซิตี้ ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเลยก็เป็นได้ ด้วยเกมรุกมาตรฐานใกล้เคียงกัน “เกมรับ” ที่เหนียวแน่น และความเด็ดขาดในพื้นที่สุดท้าย จะเป็นตัวตัดสินว่า ลิเวอร์พูล ดีพอที่จะเอาตัวรอดจากโปรแกรมโหดนัดแรกนี้ได้รึเปล่า
ทั้งนี้ มีสถิติที่พอจะทำให้เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ใจชื้นขึ้นมาบ้างว่า ตลอดการพบกันในแอนฟิลด์ 5 เกมหลังสุด ทัพ “เครื่องจักรสีแดง” ไร้พ่าย แถมยังดาหน้าถล่มประตู อาร์เซน่อล ได้มากถึง 17 ลูก ที่สำคัญ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยังถูกโฉลกกับการถลุงตาข่าย “ไอ้ปืนใหญ่” หลังกดไปถึง 8 เม็ดจาก 6 นัดหลังสุดกับ อาร์เซน่อล เป็นรองแค่ “เดอะ ก็อด” ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เท่านั้น
แต่ใช่ว่างานของยอดทีมแห่งเมอร์ซีไซด์จะจบลงง่ายๆ เพราะ #แมนเชสเตอร์ซิตี้ คือด่านอรหันต์ของจริงที่ ลิเวอร์พูล ต้องเผชิญหลังจากผ่านเทศกาลปีใหม่ได้เพียงแค่สี่วันเท่านั้น แม้กูรูหลายท่านจะมองว่า แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กำลังเมาหมัดหลังพ่ายมาถึงสองนัดติดในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ แต่อย่าลืมว่า ด้วยสถานการณ์ที่มันบีบให้ “เรือใบสีฟ้า” พลาดไม่ได้อีกแล้ว บวกกับการลงเล่นในสังเวียนอย่าง เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยพ่ายถึง 5-0 มาแล้ว คือสิ่งที่แข้ง “หงส์แดง” ไม่สามารถประมาทได้แม้แต่วินาทีเดียว ที่สำคัญ ลิเวอร์พูล ยังบุกมาคว้าชัยที่นี่ได้เพียงนัดเดียวจาก 5 นัดหลังสุดที่พบกันใน เอติฮัด สเตเดี้ยม (นับเฉพาะในลีก) อีกทั้งแนวรุกระดับพระกาฬที่พร้อมจะเล่นงานแนวรับอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เลรอย ซาเน่ และเควิน เดอ บรอยน์ ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว เชื่อว่า 4 มกราคมที่จะถึงนี้จะเต็มไปด้วยความเดือด และระอุร้อนฉ่าทุกองศาอย่างแน่นอน
สองแมตช์ต่อไปกับ อาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือบททดสอบที่สำคัญที่สุด และจะเป็นตัวชี้วัดว่า ลิเวอร์พูล ดีพอที่จะไปถึงจุดสูงสุดนั่นคือ การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เปลี่ยนมาจาก ดิวิชั่น 1 รึเปล่า…
ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ นอกจากทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และนี่คือคาถาที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และเหล่าแข้ง “หงส์แดง” ต้องท่องให้ขึ้นใจก่อนจะต้องฝ่าด่านอรหันต์สองแมตช์วัดใจนี้
เพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในมือของพวกเขาเองแล้ว...
#SinghaWorldOfFootball #Football #Arsenal #ManchesterCity#Liverpool #PremiereLeague #อาร์เซนอล #แมนเชสเตอร์ซิตี้#ลิเวอร์พูล #พรีเมียร์ลีค