วินาทีที่แฟนบอลชาวไทยรู้ว่า เรากำลังจะได้ต่อกรกับ ทีมชาติจีน ในรอบน็อคเอ้าท์ศึกเอเชียน คัพ 2019 นั้น เชื่อเหลือเกินว่ามีความคิดเห็นแตกออกมาเป็นสองเสียง รวมถึงความกังวลต่างๆ นานาที่หลายคนเริ่มถกในโลกโซเชียลว่า เราจะสามารถยัน จีน ที่มีโค้ชที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในโลกลูกหนังอย่าง มาร์เซลโล่ ลิปปี้ นำทัพ
เสียงแรกคือ #ดีแล้ว เพราะถ้าหากเทียบฟอร์มกับอีกหนึ่งทีมอย่าง เกาหลีใต้ การได้ปะทะกับทัพมังกรย่อมดีกว่าการต้องรับมือกับแข้ง “โสมขาว” ที่นำทัพโดย ซน ฮึง มิน เป็นแน่
แต่อีกเสียงหนึ่งมองว่า จีน ชุดนี้ล้วนแต่เคยทำแสบกับเรามาแล้วในเกมอุ่นเครื่องเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ท่ามกลางน้ำเจิ่งนองท่วมผืนหญ้าราชมังคลากีฬาสถาน แต่แข้งแดนมังกรของ ลิปปี้ ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง ก่อนบุกมาอัด ไทย คาบ้านถึง 0-2
รูปแบบการเล่นที่ จีน แสดงให้เราเห็นที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ได้ตามมาหลอกหลอนจนหลายๆ คนกลัวว่า นี่อาจจะเป็นการ “หนีเสือปะจระเข้” ของ ไทย ก็เป็นได้
จีน ชุดนี้มีแผนการเล่นที่หลากหลาย และยืดหยุ่นเกินกว่าที่หลายคนจะคาดเดาได้ ด้วยกึ๋นของ ลิปปี้ ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชคโชน 13 ถ้วยแชมป์กับ ยูเวนตุส บวกกับอีกหนึ่งโทรฟี่แชมป์โลกกับทัพ “อัซซูรี่” นี่ยังไม่นับการพา กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในเอเชีย ทั้งหมดนี้คงพอที่จะเป็นเครื่องการันตีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ไทย จะผ่านด่านหินครั้งนี้ไปได้ง่ายๆ
ลิปปี้ สามารถสร้างให้ จีน ชุดนี้เล่นบอลได้หลากหลายระบบ จริงอยู่ที่ จีน ยึดระบบ 4-3-3 เป็นแกนหลัง แต่ทว่าพวกเขาก็พร้อมจะแปลงร่างมาเล่นในระบบ 5-4-1 เพื่อปิดประตู แล้วตีหัวเข้าบ้านเน้นๆ ตามสไตล์อิตาเลียนที่เรียกว่า “คาเตนัชโช่” หรือบางที จีน ก็พร้อมจะปรับมาเล่นในระบบปีกสไตล์อิงลิชชนไว้เล่นงานแนวรับคู่แข่ง เรียกได้ว่า เราอาจจะได้เห็นถึงสามแทคติกภายในเกมเดียว ถือเป็นโจทย์ข้อสำคัญที่ “โค้ชโต่ย” และ “โค้ชโชค” คงต้องทำการบ้านกันอย่างหนักก่อนจะถึงวันอาทิตย์นี้
อู๋ เหล่ย คนนี้ เชื่อว่าแฟนบอลบ้านเราคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเขาคนนี้แหละคือผู้ที่เหมาคนเดียวสองประตูในเกมบุกมาอัด ไทย เมื่อกลางปีที่แล้ว
ดาวเตะจาก เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี รายนี้ คือหัวใจสำคัญในแนวรุกทัพ “มังกร” ของ ลิปปี้ อย่างแท้จริง เพราะ 8 ประตู จาก 15 เม็ดที่ อู๋ เหล่ย ทำได้ภายใต้สีเสื้อทีมชาติจีนนั้นล้วนแต่เกิดในยุคของ ลิปปี้ ทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า กุนซือผมสีดอกเลารายนี้มีคู่มือการใช้งาน อู๋ เหล่ย และที่สำคัญ ผลการการเป็นนักเตะจีนที่พังประตูในศึกไชนีส ซูเปอร์ ลีก ได้มากที่สุด 6 ฤดูกาลติดต่อกัน แถมยังผงาดคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดในลีก (27 ประตู) พร้อมกับพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของจีนได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นโมเมนตัมที่ส่งให้เจ้าตัวยังคงโชว์ฟอร์มให้กับทีมชาติจีนได้อย่างดีเยี่ยมจนขึ้นมาเป็นดาวยิงสูงสุดของ จีน ในเอเชียน คัพ หนนี้ ที่จำนวนสองประตู
ด้วยอายุอานามเพียง 27 ปี แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่เจ้าตัวต้องแบกทีมชาติจีนให้ติดลมบนในระดับเอเชียให้ได้ เมื่อมารวมกับฟอร์มการเล่น และจำนวนประตูที่เจ้าตัวผลิตให้กับทัพมังกร หากเราจะบอกว่า อู๋ เหล่ย คือสตาร์ลูกหนังของจีนในยุคนี้ก็คงไม่ผิดไปจากนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีสถิติที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ จีน จะมีสถิติคว้าชัยได้สูงถึง 92% หากว่า อู๋ เหล่ย พังประตูได้ในนัดนั้น ถือเป็นสิ่งที่แนวรับไทยคงต้องเตรียมทั้งตัว และใจให้พร้อม เพื่อรับมือกับสตาร์ลูกหนังเอเชียรายนี้
แต่ภายใต้ความแข็งแกร่ง และมาตรฐานฟุตบอลที่สู่งส่ง จีน ชุดนี้ก็มีบาดแผล และความอ่อนแอไม่ต่างไปจากทีมอื่นๆ ในโลกเช่นกัน ในปี 2018 พวกเขาคว้าชัยชนะได้เพียง 3 จาก 11 นัดที่ลงแข่งขัน (นับทุกรายการ) สองในสามนัดนั้นคือการเอาชนะทีมจากอาเซียนอย่าง ไทย และเมียนมาร์ พวกเขาเสมอกับ บาห์เรน ที่พ่ายต่อเราในเอเชียน คัพ หนนี้ แถมในเอเชียน คัพ หนนี้ การเอาชนะ คีร์กีซสถาน และฟิลิปปินส์ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า จีน อยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม เพราะถ้าใครได้ชมเกมในนัดสุดท้ายของรอบแรกกับ เกาหลีใต้ จะเห็นได้ชัดว่า แข้ง “โสมขาว” แสดงให้เห็นถึงความกระหายในชัยชนะได้อย่างชัดเจน รูปเกม โอกาสในการเข้าทำของ เกาหลีใต้ ดูดีกว่า จีน อยู่พอสมควร นั่นคือแผลที่ ลิปปี้ ได้เปิดให้ชาวโลกได้เห็น แต่จะเป็นแผลจริงๆ หรือแผลปลอมทำเหมือนไว้หลอกล่อให้ ทีมชาติไทย ต้องตายใจ
จีน เก่งกว่า ไทย ครับ นั่นไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ ด้วยมาตรฐานฟุตบอลจีนที่สูงลิบ การเข้ามาของสตาร์ระดับโลกได้ช่วยให้นักเตะจีนได้ซึมซับความเป็นมืออาชีพจากเขาเหล่านี้ อันดับฟีฟ่า แรงกิ้ง ที่ไม่เคยโกหกใคร (จีน 76 / ไทย 118) ดีกรีของโค้ช หรือแม้กระทั่งคุณภาพโดยรวมของนักเตะ… แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะ “ไม่มีวันยอมรับ” ก็คือ “#ความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงสนาม เพราะฟุตบอลไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ฟุตบอลไม่เคยมีกฎตายตัว หากคุณคิดว่า บราซิล เก่งที่สุดในโลก แล้วไฉนแข้งเซเลเซาถึงไม่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ทุกครั้ง นี่คือข้อพิสูจน์ว่า มันยังมีตัวแปรอีกหลายๆ อย่างที่สามารถเปลี่ยนผลสกอร์ได้
และหนึ่งในตัวแปรที่สำคัญที่สุดก็คือ “หัวใจ”
ใครจะไปรู้ว่า ความมั่นใจจากการเอาชนะ บาห์เรน และผลเสมอกับ “เจ้าภาพ” แบบน่าชนะ เมื่อมารวมกับสปิริตในทีม และจิตวิทยาจากโค้ช ไม่แน่ว่า ไทย ที่ลงสนามต่อกรกับ จีน แบบไร้ความกังวลอาจจะโชว์ฟอร์มได้ดี และมีสิทธิ์ฝันไกลถึงการเข้าสู่รอบต่อไป เพราะอย่าลืมว่าเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ทุกวินาทีต่อจากนี้ไปคือ “กำไรชีวิต” ล้วนๆ ผิดกับ จีน ที่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าเอาชนะ ไทย ให้ได้สถานเดียว บางทีความกดดันนั้นอาจจะกลายเป็นหอกแหลมคมที่ย้อนกลับมาปักอกให้ ลิปปี้ & เดอะ แกงค์ ต้องชอกช้ำน้ำตาร่วงหลังจากจบเกมที่ อัล ไอน์ ก็เป็นได้
จีน เก่งครับ แต่ไม่ได้แกร่งขนาดที่ว่า ไทย จะเอาชนะไม่ได้…
#SinghaWorldofFootball #ฟุตบอลไทย #AFCAsianCup