ชัยชนะเพียงแค่ 2 จาก 6 นัดหลังสุด (ทุกรายการ) นับตั้งแต่เปลี่ยนศักราชมาเป็นปี 2019
คือผลงานที่เราต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า ลิเวอร์พูล กำลังหลุดฟอร์ม และสูญเสียความมั่นใจ
ผลเสมอสองนัดหลังสุดทั้งการพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ หรือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยรูปแบบการเล่นที่คลายความดุดันไปเยอะ
โดยเฉพาะเกมรุก แถมแข้งตัวหลักหลายๆ คนก็ต่างพาเหรดเจ็บกันถ้วนหน้า กลายเป็นปัญหาทั้งใน และนอกสนามที่ถาโถมเข้าใส่ เยอร์เก้น คล็อปป์ อย่างหนัก
เกิดอะไรขึ้นกับ “หงส์แดง” ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อต่อการตัดสินแชมป์เช่นนี้ ทั้งๆ ที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เคยทำแต้มทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ถึง 7 แต้ม…
แต่ ณ ปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่า “เรือใบสีฟ้า” สามารถสปีดขึ้นมามีแต้มเท่ากับยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์
พร้อมกับทะยานแซงเป็นจ่าฝูงชั่วคราวด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่าถึง 7 ประตู
แม้จะลงเล่นน้อยกว่า แต่ไม่รู้ว่าโปรแกรมการแข่งขันหนึ่งนัดที่ ลิเวอร์พูล ยังกุมไว้อยู่ในมือ เป็นข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบกันแน่
เพราะเกมๆ นั้น คือการลงทำศึกแดงเดือดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด
ที่อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกของ “หงส์แดง” นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก “ดิวิชั่น 1 (เดิม)”
ด้วยคุณภาพของผู้เล่น และมันสมองของโค้ช, การเสริมทัพที่ดูดีที่สุดในรอบสองทศวรรษ
บวกกับพลังซัพพอร์ตมหาศาลจากเหล่า “เดอะ ค็อป” ทั้งโลก ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจให้กับ ลิเวอร์พูล…
แล้วอะไรหล่ะที่ทำให้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ?
สิ่งๆ นั้น คือ #ความกดดัน
“ความกดดัน” และความคาดหวังของแฟนบอลทั้งโลก กลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทงให้นักเตะชุดนี้เริ่มออกอาการเกร็ง
ลงเล่นแบบไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร สังเกตได้จากสองเกมหลังสุดที่พวกเขาทำได้เพียงแค่เสมอ
ทั้งๆ ที่มีโอกาสปิดเกมหลายต่อหลายครั้ง แถมยังเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้นเกม
แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล “ทำไม่ได้”
และสองคะแนนจากสองนั้นส่งผลร้ายแรงจนทำให้ “หงส์แดง” กลับมายืนเท่ากับ “เรือใบสีฟ้า”
ที่แม้ว่าจะมีความผิดพลาด หรือทำแต้มหล่นไปบ้าง แต่สุดท้าย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ยังควบหางเสือเรือบังคับให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น
#ประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล เองยังเป็นรองทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ หรือ เชลซี อยู่พอสมควร
ทำให้พวกเขาเริ่มแกว่ง และฟอร์มหลุดทั้งๆ ที่หลายๆ อย่างล้วนอยู่ในมือของพวกเขาเอง
นักเตะหลายๆ คน อย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แทบจะหายไปจากเกม, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ฟอร์มหล่นอย่างน่าใจหาย
กลายเป็น ซาดิโอ มาเน่ ที่ต้องแบกภาระในการพังประตูเพียงคนเดียว
ส่วนแดนกลาง การเข้ามารับเสื้อหมายเลข 8 ของ นาบี เกอิต้า ยังไม่สามารถทดแทนสิ่งที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เคยทำไว้ได้
เช่นเดียวกับแนวรับที่ต้องเสียทั้ง โจ โกเมซ, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน
ไม่เว้นแม่แต่ นาธาเนียล ไคลน์ ที่ คล็อปป์ เลือกปล่อยให้ บอร์นมัธ ยืมตัว ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่พุ่งกระหน่ำใส่ ลิเวอร์พูล อย่างมิได้นัดหมาย
คือการบ้านหนักที่กุนซือชาวเยอรมันต้องเร่งปลุกเร้านักเตะทุกคนในทีม โดยเฉพาะการนำจิตวิทยามาใช้เพื่อให้ทีมกลับมาเร็วที่สุด
ในเกมที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ที่เปรียบเสมือนบทพิสูจน์ว่า พวกเขาดีพอที่จะไปถึงเป้าหมายใหญ่
เป้าหมายเดียวที่ “เดอะ ค็อป” ต่างเฝ้ารอคอยมากว่า 29 ปีก็คือ แชมป์ลีกสูงสุด ได้รึเปล่า
เพราะถ้าเก็บสามคะแนนได้ ลิเวอร์พูล ยังได้เป็นฝ่ายกุมชะตาชีวิตตัวเองด้วยอีกหนึ่งเกมที่มีอยู่ในมือ แต่ถ้า 1 หรือ 0 …
โมเมนตั้มการลุ้นแชมป์ปีนี้จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ แมนฯ ซิตี้ ทันที
ถ้าพูดกันตรงๆ ณ เวลานี้ คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดของ ลิเวอร์พูล หาใช่ แมนฯ ซิตี้ และไม่ใช่ เชลซี…
แต่เป็น “ความกดดัน” ที่มาจากตัวพวกเขาเองต่างหาก...
#SinghaWorldOfFootball #Liverpool #Premierleague #ลิเวอร์พูล