BACK

 

 

"ฆ่าไม่ตาย" คาแรกเตอร์สำคัญที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณ "ยูไนเต็ด"

18 มี.ค. 2562

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกงความตายในเกมสำคัญ หรือเกมที่เปี่ยมไปด้วยความหมายเช่นนี้

แต่การ “โกงความตาย” ในครั้งนี้ “แตกต่างออกไป” จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง

เพราะในคืนวันพุธที่ผ่านมา “ปีศาจแดง” หาได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด หรือดีอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ไล่มาตั้งแต่เฮดโค้ช หากนับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้ว… โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
อาจจะเป็นกุนซือที่ “โนเนม” ที่สุด หากเทียบกับ โชเซ่ มูรินโญ่, หลุยส์ ฟาน กัล
หรือแม้กระทั่ง “ผู้ถูกเลือก” คนแรกอย่าง เดวิด มอยส์ เองก็ยังมีภาษีดีกว่าในแง่ของประสบการณ์ในสายงานลูกหนัง

ขณะที่ตัวผู้เล่นโดยรวมในเกมนี้ มิอาจเทียบได้เลยกับชุด “โกงความตาย” ระดับตำนานอย่างในเกมนัดชิงฯ ชปล. ซีซั่น 1998/1999
ที่แม้จะขาด รอยคีน กับ พอล สโคลส์ แต่อย่าลืมว่า เซอร์ อเล็กซ์ ยังมีทั้ง ไรอัน กิ๊กส์, เดวิด เบ็คแฮม, ยาป สตัม, ดไวท์ ยอร์ค, เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม,
“เกรทเดนส์” ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล หรือแม้กระทั่งฮีโร่ในวินาทีสุดท้ายที่ คัมป์ นู อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เองอยู่ในสนาม
ผิดกับการลงสนามใน ปารีส ที่มีผู้เล่นตัวจริงถึง 6 คนที่อายุไม่ถึง 25 ปี ไม่นับตัวสำรองอีก 5 คนที่มีอายุมากสุดคือ 19 ปี (ดิโอโก้ ดาโล่ต์)

ที่สำคัญ เกมนี้ “เร้ด เดวิลส์” ยังไร้สองสตาร์เลือดเฟร้นช์ทั้ง ปอล ป็อกบา กับ อ็องโธนี่ มาร์กซิยาล
เท่ากับว่าสถานการณ์ก่อนเกมจะเริ่มของพวกเขาดูชักจะไปกันใหญ่แล้ว !!!

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โซลชา อ่อนประสบการณ์อย่างสิ้นเชิงหากเทียบกับเจ้าบ้านที่อุดมไปด้วยสตาร์ระดับโลกมากมาย
จิจี้ บุฟฟ่อน, ติอาโก้ ซิลวา, มาร์โก้ แวร์รัตติ, อังเคล ดิ มาเรีย, ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ รวมถึง คีเลียน เอ็มบัปเป้ แนวรุกดีกรีแชมป์โลก
ที่คาดว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นเทพเจ้าในวงการลูกหนังยุคใหม่… จะขาดเพียงแค่ เนย์มาร์ กับ เอดินสัน คาวานี่ เท่านั้นในแมตช์ดังกล่าว

ด้วยสกอร์ที่ เปแอสเช ตุนไว้ถึงสองประตูจากโรงละครแห่งความฝัน บอกตรงๆ มองทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่ แมนฯ ยู จะบุกมายัดเยียดความปราชัยได้ถึงปารีส
อย่าว่าแต่จะพลิกเข้ารอบเลย เอาแค่ลงเล่นแบบไม่เสียประตูให้ได้ก่อนละกัน ก็น่าจะเป็น “มิสชั่น อิมพอสซิเบิ้ล” ที่ยังไงก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้

แต่ทว่าเคยมีคำกล่าวสุดคลาสสิคเอาไว้ว่า “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ”

ท่ามกลางแฟนบอลราวๆ 47,000 คน ใน ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ มิอาจสร้างความหวาดหวั่นให้กับเหล่าทายาทปีศาจภายใต้การนำของ โซลชา ได้เลยแม้แต่น้อย
จริงอยู่ที่สถิติในเกมของพวกเขาอาจจะเป็นรอง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งโอกาสในการลุ้นพังประตู, เปอร์เซ็นต์การครองบอล (68% -32%) รวมถึงจำนวนการผ่านบอลในสนามที่ต่างกัน 477 ครั้ง
แต่คุณรู้หรือไม่ว่าความเด็ดขาด และความกล้าได้กล้าเสียในม้านั่งสำรอง ได้แปรเปลี่ยนโอกาสยิงเข้ากรอบของ แมนฯ ยู แค่ 4 ครั้ง
กลายมาเป็นถึง 3 ประตูสำคัญที่พาพวกเขาก้าวเท้าสู่รอบควอเตอร์ไฟน่อลได้อย่างภาคภูมิ

คำถามคือ เพราะอะไร แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงทำได้ ?

คำตอบคือ #จิตวิญญาณ

มันคือจิตวิญญาณที่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตายสักที เกมที่พวกเขาจวนเจียนจะแพ้ หากเปรียบเป็นมวยก็คงกำลังเมาหมัดหลังพิงเชือกรอโดนหมัดน็อคสถานเดียว
แต่สุดท้าย ยูไนเต็ด ก็มักจะกลับมาสู่เกมได้เสมอแถมไม่ใช่การกลับมาอย่างธรรมดาด้วย
หากแต่เป็นการพลิกกับมาเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด ด้วยฝีเท้า และหัวจิตหัวใจของพวกเขาเอง

นั่นคือเอกลักษณ์สำคัญที่บ่งบอกให้แฟนบอลทั้งโลกรู้ว่า ตราบใดที่เสียงสุดท้ายยังไม่หมด ยูไนเต็ด จะไม่มีวันถอดใจเป็นอันขาด
และไม่เคยมีใครสามารถพรากคุณสมบัติพิเศษนี้ออกไปจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้
แม้ว่าจะอยู่ในวันที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือจากการกุมบังเหียนไปนานแล้วก็ตาม

ชัยชนะเหนือ เปแอสเช พร้อมกับการผ่านเข้าสู่รอบต่อไปของ ยูไนเต็ด น่าจะทำให้หัวจิตหัวใจของเหล่าสาวก “เร้ด เดวิลส์” ต้องพองโตเป็นแน่
เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเลยก็คือ หัวใจนักสู้ที่ “ฆ่าไม่ตาย” สักที

นี่แหละ คือคาแรกเตอร์สำคัญที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง
#SinghaWorldOfFootball #ManU #แมนยู#Premierleague

 

 

BACK