ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ชัยชนะเหนือทีมชาติจีนในนครหนานหนิงในช่วงหัวค่ำเมื่อวานนี้
ถือเป็นอีกครั้งที่เราแสดงให้แฟนบอลทั้งเอเชียได้เห็นว่า ทีมชาติไทย พร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมในระดับท็อปของเอเชีย
อาจจะยังเร็วไปที่ ไทย จะก้าวขึ้นไปทาบชั้น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย หรือชาติจากตะวันออกกลาง แต่การเอาชนะ จีน ด้วยรูปเกมที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลยแม้แต่น้อย
น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า เราเองไม่ได้มีฝีเท้าที่ด้อยไปกว่าชาติที่เอ่ยมาข้างต้นหากเราพัฒนา และเดินหน้าไปให้ถูกทาง
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมชาติไทยหักปากกาเซียนคนทั้งโลกด้วยการบุกไปถลกหนังมังกรถึง กว่างซี สปอร์ต เซ็นเตอร์…
#เจลีกคอนเนคชั่น
ชัดเจนที่สุดว่าสามนักเตะไทยที่ไปค้าแข้งยัง เจลีก ประเทศญี่ปุ่นไล่มาตั้งแต่ ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน
และ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ได้ยกระดับให้ทีมชาติไทยชุดนี้ต่อกรกับชาติยกษ์ใหญ่อย่างจีนได้อย่างสูสี ไล่มาตั้งแต่กัปตันทีมอย่าง ธีราทร
ที่แม้ว่าจะถูกกดให้เติมเกมรุกได้ไม่ถนัด พร้อมกับโดนบีบให้เล่นเกมรับตั้งแต่ช่วงต้นเกม แต่แบ็กซ้ายจาก โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส รายนี้
ยังคงหยุดยั้งแนวรุกของจีนได้อยู่หมัด ประสบการณ์จากเจลีกได้ขัดเกลาให้ “เจ้าอุ้ม” เต็มไปด้วยความนิ่ง และสุขุมทั้งอารมณ์ และฟอร์มการเล่น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ธีราทร ถึงได้รับความไว้วางใจให้กลับมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกครั้งในทัวร์นาเม้นต์สำคัญเช่นนี้
คนถัดมาคือ เจ้าของลูกแอสซิสต์ฉีกแนวรับจีนขาดวิ่นอย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ฮาร์ดแมนจาก โออิตะ ทรินิตะ ที่หลายๆ คนต่างยกนิ้วให้ถึงพัฒนาการฝีเท้าที่เด่นชัดขึ้นมากๆ
นับตั้งแต่โยกไปค้าแข้งในแดนปลาดิบ เพราะนอกเหนือความฟิต และพละกำลังที่เป็นจุดเด่นของ นิว แล้ว
เกมนี้ดาวเตะหมายเลข 8 แสดงให้เห็นถึงจังหวะการอ่านเกมที่เด็ดขาดกว่าเดิม เห็นชัดเลยว่า ฐิติพันธ์ มักจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
จังหวะการออกบอลที่หลากหลาย บอลสั้น บอลยาว การหาตำแหน่งยามไม่มีบอลอันยอดเยี่ยม ได้แปรเปลี่ยนให้จังหวะดังกล่าว
กลายเป็นประตูชัยของทีมชาติไทยได้สำเร็จ เป็นการลงสนามรับใช้ชาติที่สมบูรณ์แบบจริงๆ สำหรับ ฐิติพันธ์
ปิดท้ายด้วยผู้ทำประตูชัยในเกมนี้ พ่วงด้วยดีกรีสตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมชาติไทยยุคปัจจุบันอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์
เขาคือตัวอย่างของคำว่า “พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์” การอุทิศจิตวิญญาณให้กับสิ่งที่เรียกว่าฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย
การทุ่มเททุกๆ วินาทีทั้งในการฝึกซ้อม และในสนาม ความอดทนต่อคำสบประมาททั้งหลาย กระทั่งก้าวมาเป็นนักเตะไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในเอเชีย
อย่าง เจลีก ถือเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ และความสุขให้กับแฟนบอลทั้งประเทศ
เช่นเดียวกับเกมที่นครหนานหนิง ความคล่องตัว บวกกับความแข็งแกร่งของ เจ ได้ปั่นป่วนแนวรับเจ้าถิ่นตลอดทั้งเกม
กระทั่งจังหวะปิดสกอร์ในช่วงนาทีที่ 33 ก็แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของ ชนาธิป ที่พร้อมจะกลายร่างเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีมชาติไทยชุดนี้
เพราะนอกจากเกมรุกที่เป็นจุดแข็งแล้ว เจ ยังลงมาเชื่อมเกม ลงมาไล่บอล และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ทีมได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ และสุดท้าย เจ ก็ทำได้สมใจ...
#ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม #ทีมชาติไทยทำงานกันเป็นทีม
แม้จะมีกระแสจากแฟนบอลบางส่วนที่แสดงความไม่มั่นอกมั่นใจทีมชาติไทยภายใต้การนำของสองดูโอโค้ชขัดตาทัพ
อย่าง “โค้ชโต่ย” ศิริศํกดิ์ ยอดญาติไทย กับ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ที่เคยถูกปรามาสว่ากึ๋นการแก้เกมยังไม่ถึงจากเกมที่ ไทย พลิกกลับมาพ่ายต่อ จีน 1-2
ในศึกเอเชียน คัพเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ทว่าด้วยความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในตัวโค้ชทั้งสอง สุดท้าย “โต่ย-โชค” ก็ยังได้รับการแต่งตั้งให้กุมบังเหียน
ลุยศึกไชน่า คัพ 2019 ท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิง แรด มากมาย
แต่ฟุตบอลไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวอะไรทั้งนั้น ฟุตบอลหาใช่คณิตศาสตร์เพียวๆ บางทีโค้ชที่มีชื่อเสียงก็อาจไม่ได้การันตีว่าทีมๆ นั้น
จะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป โค้ชทั้งสองคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปดวยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รัก
และด้วยความร่วมแรงร่วมใจของนักเตะไทยชุดนี้ที่เต็มไปด้วยสปิริตทีมอันยอดเยี่ยม หลายๆ คนกำลังก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง
ไม่มีใครมองว่าใครเป็นสตาร์ หากแต่ทุกคนต่างหากที่ล้วนแต่สวมบทฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ ทีมชาติไทย ก้าวไปข้างหน้าต่อไป
หากเทียบกันตัวต่อตัว แน่นอน ไทย เป็นรอง จีน อยู่แล้ว ทั้งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ความยิ่งใหญ่ของ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก ที่อุดมไปด้วยสตาร์ระดับโลกจากลีกยุโรป
และอเมริกาใต้ ชื่อชั้นของ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ตำนานปราการหลังกัปตันทัพ “อัซซูรี่” ในฐานะชาวอิตาเลียนคนสุดท้ายที่ได้ชูถ้วยแชมป์โลก
แค่นี้ก็มองไม่เห็นแล้วว่าเราจะพาตัวเองไปยืนอยู่บนโพเดี้ยมในฐานะ “ผู้ชนะ” ได้อย่างไร
แต่เมื่อทุกคนทราบว่า จะจับวัดกันตัวต่อตัว เห็นทีก็คงมีแต่คำว่าแพ้ หรือสู้ไม่ได้ ไฉนเราไม่มารวมร่างกันเป็นทีมให้ดูตัวใหญ่ๆ
ดุจดั่งเรนเจอร์ 5 สีที่รวมร่างกันเป็นหุ่นตัวใหญ่สู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดกันเล่า…
เกมนี้ ถ้าใครได้ติดตาม จะเห็นได้ชัดว่า ไทย เล่นตามแทคติกที่วางไว้ด้วยความอดทน บทจะรับ ก็ลงมาไล่กันทั้งทีม มีกระตุ้นกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดความตื่นตัว
เพราะความคับแค้นจากศึกเอเชียน คัพ มันยังคงฝังใจอยู่ แต่ก็มีหลายๆ ช็อตที่เราสวมบทเกเรกล้าที่จะเปิดเกมรุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบเช่นกัน
หากเปรียบเป็นมวยก็คือ ถึงจะตั้งการ์ด แต่ก็ออกหยัดแหยบคอยแหย่สร้างความรำคาญอยู่ตลอดเวลา
ผู้รักษาประตูอย่าง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ใช้ประสบการณ์สร้างความอุ่นใจให้แก่น้องๆ ในทีมได้ แนวรับทุกคนเล่นกันได้อย่างมีวินัยแม้จะเจอบททดสอบที่หลากหลาย
ส่วนแผงมิดฟิลด์ นี่คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ จีน ไม่สามารถออกหมัดได้อย่างถนัด และเปิดช่องว่างให้แนวรุกของเราได้เข้าไปโจมตีจนได้ประตูที่ต้องการ
ทั้งหมดนี้คือคำว่า “ทีม”
ฟุตบอลไทยเล่นกันเป็น “ทีม”
และทีมชาติไทยทำงานกันเป็น “ทีม”
ไม่ว่าเกมต่อไปเราจะต้องเจอกับใคร และผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร ถึงตรงนี้แฟนบอลอย่างเราคงได้แต่พูดออกมาว่าเรา “ภูมิใจ”
และจะคอยอยู่เคียงข้างทีมชาติไทยทุกคน ในฐานะ “ซัพพอร์ทเตอร์” ต่อไป ไม่มีเปลี่ยน...
ทั้งนี้ ไทย จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่าง อุซเบกิสถาน หรือ อุรุกวัย ในวันจันทร์ที่ 25 มีนาคมนี้
ที่สนาม กว่างซี สปอร์ต เซ็นเตอร์ นครหนางหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มคิกออฟในเวลา 18.35 น. (ตามวลาประเทศไทย) ถ่ายทอดสดทางช่องไทยรัฐทีวี ช่อง 32
#SinghaWorldofFootball #ฟุตบอลไทย #ทีมชาติไทย #ChinaCup