BACK

 

 

“หงส์แดง” และ “เรือใบสีฟ้า”

23 เม.ย. 2562

ท่ามกลางการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดของทั้งทัพ “หงส์แดง” และ “เรือใบสีฟ้า” ในการแย่งโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก
จนทำให้สถานการณ์พลิกไปพลิกมาอยู่ตลอดเวลาชนิดที่แฟนบอลทั้งสองทีมต่างหายใจไม่ทั่วท้อง โดยเฉพาะเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป”
แม้ว่า ณ ขณะนี้พวกเขาจะนำเป็นจ่าฝูงอยู่ก็ตาม

การลงเล่นมากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 1 นัด กับความได้เปรียบกว่าแค่สองคะแนน อาจจะไม่เพียงพอต่อความสำเร็จในบั้นปลายซีซั่น
หากว่าพวกเขาไม่สามารถเดินหน้าคว้าชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และหวังให้ แมนฯ ซิตี้ สะดุดสักนัดในช่วงโค้งสุดท้าย
ฉะนั้น ถึงตรงนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องโฟกัสให้มากที่สุดก็คือ การกำหนดลมหายใจของตนเองให้ได้ด้วยการพยายามเดินหน้าคว้าชัยให้ได้ในทุกๆ นัดเท่านั้น
แม้ในทางทฤษฎี ลิเวอร์พูล น่าจะทำได้ไม่ยาก เนื่องจากพวกเขาล้วนแต่มีฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา และมีขุมกำลังที่เหนือกว่าทุกทีมจากโปรแกรมที่เหลือ
แต่ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงกลับไม่ง่ายราวกับที่คิดเอาไว้ เพราะในโปรแกรมที่เหลือ ดันมี “ตัวแปร” ชิ้นโต
ที่ยืนจังก้าพร้อมดับฝันเหล่า “เดอะ ค็อป” ทั้งโลกเฉกเช่นในปี 2014 ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แถมสังเวียนในวันนั้นดันเป็น “แอนฟิลด์” ซะด้วย


ทีมๆ นั้น คือ เชลซี
แม้ว่านี่จะเป็นซีซั่นที่น่าผิดหวังสำหรับสาวก “สิงโตน้ำเงินคราม” รวมถึง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่มิอาจพาทีมไปถึงบัลลังก์แชมป์ได้ ด้วยความพ่ายแพ้ในลีกมากถึง 7 นัด
แถมแนวรุกยังมานัดกันปืดฝืดยิงได้น้อยที่สุดในบรรดากลุ่ม Top 6 แต่ถึงอย่างไร กุนซือเลือดมักกะโรนีรายนี้
ยังสามารถพา เชลซี กลับมาอยู่ในพื้นที่ลุยถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้ และมีแต้มเป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ เท่านั้น
ที่สำคัญ การกลับมาท็อปฟอร์มของ เอเด็น อาซาร์ พร้อมกับการก้าวเข้ามาของดาวรุ่งอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย
ส่งให้ เชลซี ทีมนี้กลับมาคว้าชัยได้ตลอดสามนัดหลังสุดในลีก ถือเป็นการเรียกความมั่นใจได้ถูกเวลาก่อนที่จะลงสนามในเกมใหญ่ที่แอนฟิลด์วันอาทิตย์นี้
ที่สำคัญ “หงส์แดง” ไม่เคยเปิดบ้านเอาชนะ เชลซี ได้เลย นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2012
แถมยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ทีมนี้ยังไม่สามารถเอาชนะ “สิงห์บลู” ได้เลยตลอดการพบกัน 5 นัดหลังสุดในทุกรายการ
แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล มักจะมีปัญหาชวนให้ฟอร์มสะดุดเสมอยากต้องลงต่อกรกับยอดทีมจากลอนดอน

มากไปกว่านั้น สถานการณ์ที่ ลิเวอร์พูล ต้องเผชิญในวันอาทิตย์นี้ ดันคล้ายๆ กับเหตุการณ์ในปี 2014 ที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์
แถมยังต้องลงสนามพบกับ เชลซี ในถิ่นแอนฟิลด์ ก่อนที่พวกเขาจะโดนความกดดันเล่นงานจนพลาดโทรฟี่แชมป์ในบั้นปลาย
พร้อมกับการ “ลื่น” ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของทีม
ดังนั้น การพบกันในสุดสัปดาห์นี้ จึงเป็นอีกหนึ่งแมตช์ที่แฟนบอลทั้งสองทีมจะพลาดกันไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
ด้วยสถานการณ์ ความดุเดือด และศักดิ์ศรีของการเป็นทีมระดับท็อปทั้งสองทีม เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมคุณภาพด้วยแทคติกจากมันสมองของ คล็อปป์ กับ ซาร์รี่
บวกกับการดวลกันของสตาร์ระดับโลกล้นสนาม ทุกอย่างอยู่ที่จังหวะ ความเด็ดขาด หัวใจ ความมุ่งมั่น บวกกับโชคชะตาล้วนๆ
ว่าสุดท้าย ใครกันที่จะได้สามคะแนนอันล้ำค่านี้ไป

ลิเวอร์พูล ต้องการสามคะแนนเพื่อรักษาเส้นทางการลุ้นแชมป์ลีกต่อไป
ส่วน เชลซี ต้องการชัยชนะเพื่อการันตีอันดับสามเอาไว้ให้ได้ในช่วงเวลาสำคัญก่อนโปรแกรมหนักกับหอกข้างแคร่อีกทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด
ถือเป็นอีกครั้งที่ “เชลซี” กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล จะเปิดรังแอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ในคืนวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายนนี้
เริ่มคิกออฟตั้งแต่เวลา 22.30 น. เป็นต้นไป ถ่ายทอดสดทาง beIN SPORTS 1

#SinghaWorldofFootball #Liverpool #Chelsea#SinghaxChelsea #PremierLeague

 

 

 

BACK