นับตั้งแต่ที่ก่อตั้ง พรีเมียร์ลีก ขึ้นเมื่อฤดูกาล 1992/1993 ว่ากันตรงๆ ว่า ปีนี้คือปีที่ดูบอลสนุกที่สุดอีกปีเลยก็ว่าได้
เพราะนานแล้วที่เราไม่ได้เห็นการคับเคี่ยวเส้นทางการลุ้นแชมป์ได้สูสีขนาดนี้ สูสีจนขนาดที่ว่าจ่าฝูงอย่าง แมนฯ ซิตี้
ต้องเดินทางไปเล่นเกมนัดสุดท้ายที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ด้วยเงื่อนไข “ต้องชนะเท่านั้น” เพื่อปิดโอกาสการกลับมาแซงช่วงโค้งสุดท้าย
ของ ล
ิเวอร์พูล และการันตีแชมป์ไปแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
#มุมน้ำเงิน #แมนเชสเตอร์ซิตี้
“เรือใบสีฟ้า” ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะมีอยู่ถึง 95 แต้มจาก 37 นัด แต่นั่นยังมิอาจการันตีสถานะ “แชมป์” ได้
ทั้งๆ ที่หากเรากวาดตามองลีกใหญ่ทั่วยุโรป จะเห็นได้ว่า แมนฯ ซิตี้ เหนือกว่าทีมระดับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, ยูเวนตุส หรือแม้แต่ บาร์เซโลน่า เลยด้วยนั้น
นั่นสะท้อนให้เห็นว่า เพราะมาตรฐานของ พรีเมียร์ลีก กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมการเข้าชิงกันเองทั้งสองถ้วยใหญ่ของยุโรป (ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส, เชลซี และอาร์เซน่อล)
ยังเป็นการตอกย้ำวลีเด็ดที่ว่า “Football's coming home” ไปแบบเต็มๆ
หากมองในทางทฤษฎี และปฏิบัติ... แมนฯ ซิตี้ ดูมีภาษีดีกว่า ลิเวอร์พูล อย่างเห็นได้ชัด พวกเขากำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม
หลังกวาดชัยเรียบอาวุธตลอด 13 เกมหลังสุด แถมยังเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้ในหลายๆ เกม บางครั้ง “เรือใบสีฟ้า”
ก็ต้องการแค่ประตูเดียวเพื่อเปลี่ยนผลการแข่งขันให้เป็นสามคะแนน และท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้จากสองนัดล่าสุดกับ เบิร์นลีย์
และเลสเตอร์ ซิตี้ เช่นเดียวกับสองเกมหนักก่อนหน้านี้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสเปอร์ส ที่ เป๊ป กับลูกทีมก็ไม่ยอดพลาดเช่นกัน
ที่สำคัญ การหลุดจากวงโคจรศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ณ เวลานี้ อาจจะกลายเป็นข้อดีที่จะช่วยให้ “เรือใบสีฟ้า”
โฟกัสเส้นทางการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของตนเองได้แบบเต็มๆ เพราะในช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความกดดันเช่นนี้ “สมาธิ” ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย
แต่นั่นหาใช่สิ่งที่กุนซือชาวสแปนิชกังวล เพราะอย่าลืมว่า นักเตะระดับ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่, แว็งซ็องต์ กอมปานี, ดาบิด ซิลบา, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
หรือแม้แต่ แบร์นาโด้ ซิลวา ที่เคยผ่านถ้วยแชมป์ลีกกับ โมนาโก และเบนฟิก้า มาแล้ว ล้วนแต่มีประสบการณ์ และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ
สำหรับ “เอล กุน” การยิงตามหลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อยู่สองประตู น่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้เจ้าตัวต้องการระเบิดฟอร์มถล่มประตูในเกมนัดสุดท้าย
เพื่อโอกาสในการคว้ารางวัลดาวซัลโว พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ ด้วยค่าเฉลี่ยการยิงในพรีเมียร์ลีกนัดละ 1.45 ประตู
บอกได้เลยว่า อเกวโร่ คือความหวังสูงสุดของทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หน้าที่เดียวของจ่าฝูงในเกมสุดท้ายก็คือ ชนะ ไบรท์ตัน ให้ได้เท่านั้น โดยไม่ต้องสนใจว่าจะต้องยิงกี่ลูก กี่เม็ด
ขอเพียงแค่คว้าสามคะแนน พวกเขาก็จะเถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกสมัยที่ 4 ในรอบ 8 ปี ยิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษนี้ของเกาะอังกฤษ
#มุมแดง #ลิเวอร์พูล
ชัยชนะเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด รวมถึงมหากาพย์โกงความตายที่ แอนฟิลด์ ในเกมกับ บาร์เซโลน่า
ตอกย้ำให้เหล่า “เดอะ ค็อป” มีความหวัง และมีความเชื่อพร้อมกันว่า “ไม่มีอะไรที่ ลิเวอร์พูล ทำไม่ได้” สายเลือดความเป็นนักสู้ที่มีอยู่ในตัว
ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ถูกส่งต่อให้กับนักเตะในทีมทุกคน จนหยั่งรากลึกเข้าไปอยู่ใน ดีเอ็นเอ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การขาดนักเตะตัวหลักอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หรือจะเป็นอาการบาดเจ็บของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน นั้นไม่ได้ทำให้ คล็อปป์ หวั่นเลยแม้แต่น้อย
ความยืดหยุ่นในเรื่องของแทคติก ความไว้ใจที่มีในตัวลูกทีมทุกคน กลับส่งให้นักเตะอย่าง ดิว็อค โอริกี้ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต,
เจมส์ มิลเนอร์ ยินดีลงไปยืนตรงไหนก็ได้ในสนาม หากมันจะทำให้ทีมคว้าชัยชนะ และถ้า ลิเวอร์พูล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
ประตูที่หัวหอกรายนี้ทำได้ในเกมที่พบกับ เอฟเวอร์ตัน และนิวคาสเซิ่ล จะมีมูลค่าที่แพงยิ่งกว่าทองคำ และไม่สามารถประมินค่าได้หากวัดจากความรู้สึก
จุดเปลี่ยนสำคัญในฤดูกาลนี้ของ “หงส์แดง” ก็คือ เหล่าบรรดาแนวรับที่ทำผลงานได้สยบคำวิจารณ์ของกูรูทั้งหลาย อลิสสัน (อลิซอน)
พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของ บราซิล ในรอบทศวรรษ, เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ตอบแทนค่าตัวแนวรับที่แพงที่สุดในโลกด้วยการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ
ของ อังกฤษ หรือ พีเอฟเอ, สองวิงแบ็กอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
กำลังอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิตหลังแอสซิสต์รวมกันไปถึง 22 ครั้งในลีก บวกกับ ซาดิโอ มาเน่ ที่คืนฟอร์มได้ทันเวลา
และกลายเป็นอีกหนึ่งคีย์แมนสำคัญในเกมรุก ส่วน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถูกวิจารณ์ว่าฟอร์มดร็อปลงไป ก็ยังยิงในลีกได้ถึง 22 ประตู พร้อมกับนำเป็นดาวซัลโวอยู่
หากจะมองว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่ ลิเวอร์พูล จะพลิกกลับมาแซงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ (ไม่นับ ดิวิชั่น 1 เดิม)
ก็คงต้องยอมรับว่า ใช่ เพียงแต่เงื่อนไขของพวกเขาในสุดสัปดาห์นี้ก็คือ เอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ให้ได้ซะก่อน
และไปลุ้นให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ชนะในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล แค่นั้น ความฝันของเหล่า “เดอะ ค็อป” ก็จะกลายเป็นจริง
ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายได้ชูโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกอันยิ่งใหญ่ในซีซั่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
และลิเวอร์พูล จะถูกจารึกเข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนังเมืองผู้ดี รวมถึงความทรงจำของแฟนบอลทั้งโลกว่า
นี่เป็นฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความสนุก ระทึก และได้ลุ้นจนถึงวินาทีสุดท้าย สมกับคำที่ว่า “พรีเมียร์ลีก คือลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก” อย่างแท้จริง
แล้วคุณหล่ะ... อยากให้ใครเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ?
#SinghaWorldofFootball #Mancity #Liverpool#PremierLeague #Thefinalmatch