BACK

 

 

ฤานี่คือ "ยุคตกต่ำ" ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

24 ม.ค. 2563

ฤานี่คือ "ยุคตกต่ำ" ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ครองบอล 72.2 %
โอกาสยิง 24 ครั้ง
ผ่านบอล 692 ครั้ง
เตะมุมอีก 5 ครั้ง

หากมองแบบโฉบๆ ผ่านๆ แน่นอนครับ นี่คือสถิติของทีมที่คว้าชัยชนะแน่ๆ แต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายกว่าที่เราคิด เพราะสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับถูก เบิร์นลีย์ บุกมายัดเยียดความปราชัยถึงถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 0-2

ชัยชนะในนัดนี้ ทำให้ เบิร์นลีย์ ทำลายสถิติสุดย่ำแย่ของตนเองในการเล่นที่โรงละครแห่งความฝันได้สำเร็จ โดยถือเป็นชัยชนะนัดแรกของพวกเขาเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ปี 1962 เลยทีเดียว

เหลือเชื่อว่า ตลอดโอกาสยิงทั้ง 24 ครั้งของพลพรรค “ปีศาจแดง” พวกเขาไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้เลย ขณะที่ เบิร์นลีย์ ยิงเข้ากรอบเพียงแค่ 2 ครั้ง แต่กลับกลายเป็นประตูทั้งหมด

ความเด็ดขาดของพวกเขาหายไปไหน ? นี่คือคำถามที่เหล่าสาวก “เร้ด เดวิลส์” ทั้งโลกกำลังโยนกลับไปที่กุนซืออย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น นี่คือความพ่ายแพ้นัดที่ 5 จาก 10 นัดในทุกรายการ และยังเป็นนัดที่ 8 ในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ไปแล้วถึง 8 เกม ทั้งๆ ที่พรีเมียร์ลีกเตะกันมาถึงนัดที่ 24 เรียกได้ว่ายังไม่เตะหลัก 2 ส่วน 3 ของโปรแกรมทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

เกิดอะไรขึ้นกับหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ?

ครั้งหนึ่งเราต่างจำกันได้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดในโลก

ความน่าตื่นตาตื่นใจนี้หาใช่การผ่านบอลที่สวยงาม หรือการเข้าทำที่หยดย้อยดั่งเช่น บาร์เซโลน่า ยุคเป๊ป, ลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบัน หรือ อาร์เซน่อล ชุดไร้พ่ายแต่อย่างใด

หากแต่มันคือ “คาแรคเตอร์ที่ไม่มีวันยอมแพ้” ว่ากันว่ามันคือ ดีเอ็นเอ ที่ซึมเข้าไปอยู่ในสายเลือด ลมหายใจ รวมถึงจิตวิญญาณของนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ทุกคน และสิ่งเหล่านี้มันถูกส่งผ่านกันรุ่นสู่รุ่นแทบไม่มีขาดตอน

เพราะไม่ว่าพวกเขาจะตามหลังคู่แข่งมากแค่ไหน แต่สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลับมาแซงเอาชนะได้เสมอ

เช่นเดียวกับการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขัน หรือบีบหัวใจ ในการเจอทีมเกรดท็อปเหมือนกัน หรือการแสดงคลาสความเป็น “โคตรบอล” ยามเจอกับทีมที่เล็กกว่า น้อยครั้งที่พวกเขาจะพลาดให้โลกรู้

เหนือสิ่งอื่นใด นักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องลงไปในสนามด้วยความกระหายในชัยชนะเสมอ นั่นคือความเป็นจริงที่ทุกคนต่างสัมผัสได้

แต่ ณ วินาทีนี้ บอกตรงๆ ว่าไม่ใช่ นี่หาใช่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแบบที่โลกรู้จักแต่อย่างใด พวกเขาขาดแพสชั่นอะไรบางอย่าง นักเตะหลายๆ คนที่ก่อนหน้านี้เข้าขั้นระดับโลก แต่จู่ๆ ก็กลับฟอร์มตก ไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้

เมื่อ “ปีศาจแดง” กลายร่างเป็นเพียงนักเตะเกรดธรรมดาที่หาได้ตามตลาดซื้อขายทั่วไป เอฟเฟคที่ตามมา จึงส่งผลให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือ ไม่มีใครกลัว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกต่อไปแล้ว

เหล่ากูรูลูกหนังทั่วโลกต่างร่วมถกถึงประเด็นนี้ นี่คือเรื่องใหญ่ในวงการลูกหนังว่าเกิดอะไรขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งๆ ที่พวกเขามีแฟนบอลอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีเม็ดเงินมหาศาลหลั่งไหลเข้ามา ทุกอย่างค่อนข้างจะเดินไปข้างหน้าได้สวย หากเราโฟกัสในพาร์ทธุรกิจ

พวกเขาเหล่านี้ต่างมองว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดใน อังกฤษ ก็คือพวกเขากำลังใช้งาน “คนที่ไม่ใช่”

ใช่ครับ เอ็ด วู้ดเวิร์ด และโอเล่ กุนนาร์ โซลชา คือเป้าใหญ่ที่ถูกมองว่า กำลังฉุดรั้งไม่ให้สโมสรขยับก้าวไปข้างหน้าได้สักที

เอ็ด วู้ดเวิร์ด คือคีย์แมนคนสำคัญในการเดินเกมนอกสนามนั่นคือ ตลาดซื้อขายนักเตะ แต่ทว่านับตั้งแต่ที่เขาถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว ดูเหมือนว่า “ปีศาจแดง” จะพลาดเป้าหมายใหญ่ๆ ไปหลายต่อหลายคน แถมแข้งเหล่านั้นล้วนแต่โชว์การเจียระไนตัวเองจนกลายเป็นนักเตะระดับท็อปคลาส

เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
ทาคุมิ มินามิโนะ
ซาดิโอ มาเน่
กาเบรียล มาร์ติเนลลี่
เอ็นโกโล่ ก็องเต้

นี่คือส่วนหนึ่งของแข้งระดับบิ๊กเนมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อยให้ไปอยู่ในมือของคู่แข่งชนิดที่แฟนบอลของพวกเขาเองแทบจะไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่า เพราะเหตุใด เอ็ด วู้ดเวิร์ด ถึงมองว่าแข้งเหล่านี้ยังไม่ดีพอที่จะสวมยูนิฟอร์มของสโมสร มันสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของตัวเขาเองหรือไม่ นี่คือคำถามที่ยังคาใจเหล่า “เร้ด เดวิลส์” ทั่วโลก ?

ขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จริงอยู่ที่เขาอาจจะเคยมีช่วยเวลาที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในช่วนเริ่มต้นการกุมบังเหียน แต่นั่นคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว และไม่รู้ว่าผลงานดีๆ แบบนั้นจะหวลกลับคืนมาอีกเมื่อไหร่ เพราะ ณ วินาทีนี้ แทคติก และการวางหมากของ โซลชา นั้น ไม่ได้ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่า สโมสรอันเป็นที่รักจะมีโอกาสผงาดกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง พวกเขาขาดเกมรุกที่ดุดัน นักเตะอย่าง มาร์กซิยาล, เฟร็ด, เปเรยร่า, ลินการ์ด หรือแม้กระทั่ง แรชฟอร์ด ไม่สามารถไปทาบรอยเท้าของ สโคลส์, กิ๊กส์, เบ็คแฮม, ฟาน นิสเตอรอย, รูนีย์ หรือ โรนัลโด้ ได้เลยแม้แต่น้อย จนทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ทำประตูได้น้อยที่สุดในบรรดากลุ่ม Top 6

ในมุมของเกมรับ การทุ่มเงินเป็นสถิติโลกเพื่อซื้อ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มายืนเป็นปราการภูผาหิน กลับกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำในบัดดล เพราะฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูมากกว่าทีมอย่าง คริสตัล พาเลซ ด้วยซ้ำ นี่คือข้อเท็จจริงที่พูดได้อย่างเต็มปากว่า แนวรับของพวกเขานั้นอ่อนปวกเปียกยิ่งกว่าทิชชู่ที่แช่น้ำมา

จุดแข็งของการเล่นในบ้านหายไป
จุดอ่อนของการเล่นทีมเยือนเริ่มขยายกลายเป็นแผลใหญ่

ยังนึกไม่ออกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อย่างไร หากพวกเขายังไม่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ซึ่งเราคงไม่ต้องบอกว่ามันคืออะไร

ไม่ว่าคุณจะเชียร์ทีมไหน มันก็คงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ต้องเห็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะไม่ได้ผ่าเข้าไปเล่นในฟุตบอลถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอีกครั้ง แน่นอน นั่นหมายถึงเม็ดเงินที่ลดลง ดีกรีทีมที่ลดลง ความน่าสนใจ ความเย้ายวนใจ ต่อนักเตะระดับโลกก็จะน้อยลงไปอีก ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว และทุกปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อกันไปเรื่อยๆ จนเกิดการตั้งคำถามจากแฟนบอลทั่วโลกอย่างจริงจังว่า

หรือนี่คือช่วงเวลาแห่งการก้าวเข้าสู่ "ยุคตกต่ำ" ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง...

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #PremierLeague #ManU

 

 

BACK