เมื่อช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว กับเกมนัดส่งท้างลีกสูงสุดของ เชียงใหม่ เอฟซี… พวกเขาไม่ทำให้ศรัทธาร่วม 25,000 ชีวิตในสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ต้องผิดหวัง
หลังลูกโหม่งของ ไคเก้ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าแชมป์ไทยลีกในบัดดล ส่งผลให้ทัพ “พยัคฆ์ล้านนา” กลายเป็นทีมที่ตกชั้นได้เท่ห์ที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังบ้านเรา
วันเวลาผ่านไป เชียงใหม่ เอฟซี ลดสถานะจากลีกสูงสุดสู่ลีกพระรอง พร้อมกับเป้าหมายใหญ่คือการทวงคืนตั๋วสู่ศึกไทยลีกให้ได้ในทันที
แม้ว่าในฤดูกาลนี้พวกเขาจะมีการปรับเปลี่ยนทีมแทบจะยกแผง ไล่มาตั้งแต่เฮดโค้ชอย่าง “โค้ชอ่ำ” อำนาจ แก้วเขียว
ยันทัพนักเตะด้วยปรัชญาการผสมผสานของแข้งที่มีประสบการณ์ในเวทีระดับสูง บวกกับพลังของนักเตะดาวรุ่งที่ต้องการพิสูจน์ให้แฟนบอลเมืองเหนือเห็นว่า
พวกเขาพร้อมทุ่มเทเพื่อพาทีมไปสู่เป้าหมาย รวมถึงนักเตะต่างชาติอย่าง เรียว มัตสึมูระ ที่เคยปั้นเกมจนพา ระยอง เอฟซี เลื่อนชั้นสู่ไทยลีกมาแล้ว
มองดูแล้ว เชียงใหม่ เอฟซี ยังคงเป็นทีมที่น่าจับตาในลีกพระรองไม่น้อย
พวกเขาออกสตาร์ทได้ไม่ค่อยสวยหรูนัก หลังโดน สมุทรสาคร เอฟซี ตีเสมอในวินาทีสุดท้าย ท่ามกลางสภาพสนามที่เป็นอุปสรรคต่อรูปแบบการเล่นบอลบนพื้น
ก่อนจะบุกไปโดน นครปฐม เอฟซี อัดอีกสองเม็ด พร้อมกับการงัดใช้กฎการยิงประตูทีมเก่าของ มุสตาฟา อาซัดซอย ทำให้หลายๆ คน เริ่มถอดใจ
และมองว่า “พยัคฆ์ล้านนา” อาจจะมีสิทธิ์ฟุบยาวกลายเป็นยักษ์หลับอีกหน
แต่โบราณกล่าวไว้ว่า “สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” เพราะสุดท้าย เชียงใหม่ เอฟซี สามารถกลับมาคืนฟอร์มเก่งต่อหน้าต่อตาแฟนบอลในบ้านได้อย่างทันควัน
หลังกรีฑาทัพไล่ถลุง เกษตรศาสตร์ เอฟซี ไปแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมถึง 5-0 ก่อนจะเปิดรังอัดทีมในกลุ่มเลื่อนชั้นด้วยกัน
อย่าง ขอนแก่น ยูไนเต็ด ไปแบบสุดมันส์ 1-0 เก็บ 7 คะแนนได้จากสี่แมตช์ ทะยานขึ้นมารั้งอันดับสี่ของตาราง
และมีแต้มตามหลังสามทีมนำอย่าง หนองบัว พิชญ เอฟซี, เชียงใหม่ ยูไนเต็ด และราชนาวี อยู่เพียงแค่สามคะแนนเท่านั้น
กระทั่งฟุตบอลทุกรายการในประเทศต้องหยุดพักเบรคเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส “โควิด-19” ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก
ความน่าสนใจของ เชียงใหม่ เอฟซี ชุดนี้ก็คือ พวกเขาไม่ได้มีสตาร์ หรือตัวชูโรงเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาที่เคยมี เอลิอันโดร, เอกนิษฐ์ ปัญญา หรือ แองเจโล่ มาชูก้า
หากแต่ทีมชุดนี้อาศัย “ระบบ” และ “ความฟิต” เข้าไล่บี้ และฉวกฉวยความผิดพลาดของคู่แข่ง รวมถึงเกมรุกที่ยิงได้มากที่สุดเป็นอันดับสองของลีก (8 ประตู)
จนการันตีได้ว่า พวกเขาไม่เคยแพ้ในวันที่ลั่นกระสุนได้ แต่ในขณะเดียวกัน เกมรับ ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องรีบปรับจูนให้ได้เป็นการด่วน หลังโดนเจาะตาข่ายไปแล้วสี่ประตูด้วยกัน
ตามกำหนดการล่าสุดของฝ่ายจัดการแข่งขัน หากไม่มีอะไรผิดพลาด ทุกๆ ทีมจะกลับมาลงแข่งขันกันตั้งแต่วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ซึ่งโปรแกรมสามนัดถัดไปของทัพ “พยัคฆ์ล้านนา” นั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์หัวใจดั่งคำที่ว่า The Tiger’s Heart ว่าจะแกร่ง
และสู้เต็มที่สมกับการ “สวมหัวใจเสือ” ลงสนามหรือไม่ เพราะทั้ง อยุธยา ยูไนเต็ด, ราชนาวี และแกรนด์ อันดามัน ระนอง ยูไนเต็ด ต่างก็ต้องการสามคะแนนเช่นกัน
ด้วยโมเมนตั้มของทีมที่กำลังพุ่งขึ้น บวกกับพลังของแฟนบอลที่ยังคงหนุนเคียงข้างทีมอยู่เสมอ เชื่อว่านับจากนี้ไป เชียงใหม่ เอฟซี
ก็พร้อมจะสวมบทหัวใจเสือลงสนามเพื่อชัยชนะสถานเดียว เพราะเป้าหมายที่พวกเขามีอยู่อย่าง การเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกนั้นช่างยิ่งใหญ่ และหอมหวลเกินกว่าที่จะปฏิเสธได้
จากความประทับใจตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว เชื่อได้เลยว่า แฟนบอลไทยทั้งประเทศต่างเฝ้ารอการคัมแบ็ค และพร้อมดูการ "เปล่งเสียงคำราม"
ของทัพ “พยัคฆ์ล้านนา” อีกครั้งอย่างแน่นอน...
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น
ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SWOF #TheTigersHeart #ChiangmaiFootballClub #CMFC