YNWA
“แด่แชมป์อันยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล”
จากฤดูกาล 1989/1990 สู่ซีซั่น 2019/2020 แน่นอนว่า นี่คือช่วงเวลาอันยาวนานกว่าสามสิบปี…
มันคือสามสิบปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันหลากหลาย ครบรส และเปี่ยมไปด้วยความสุข
เสียงหัวเราะ คราบน้ำตาของเหล่าแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่โลกใบนี้รู้จักกันในนาม “เดอะ ค็อป”
เราเคยเผชิญกับช่วงเวลาอันย่ำแย่มาแล้วมากมาย โดยเฉพาะนับตั้งแต่ เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย
หลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล ผ่านจุดสูงสุดของการเป็นทีมที่ดีที่สุดบนเกาะอังกฤษไปแล้ว
และมันจะไม่มีวันย้อนกลับมาอีก เพราะสิ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ทำไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น
ช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะเข้าไปทาบรัศมีอันยิ่งใหญ่นั้นได้
นี่ยังไม่นับ อาร์แซน เวนเกอร์, โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ผลัดมือกันหยิบจับความสำเร็จ
ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับงานยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา จนเหล่า “เดอะ ค็อป” หลายๆ คนยอมรับความจริงว่า
โอกาสที่ “หงส์แดง” จะกลับมาอยู่ในจุดของการเป็นทีมที่ดีที่สุดบนเกาะอังกฤษนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย
ที่ยังไม่นับระบบการบริหารจัดการทั้งใน และนอกสนาม ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ตามหลังคู่แข่งอยู่อีกไกล
ใครจะเชื่อว่าหากย้อนกลับไปเพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เกือบจะกลายเป็นทีมที่ล้มละลาย และเกือบจะโดนปรับตกชั้นจากปัญหาทางการเงินด้วยซ้ำ
เมื่อมีปัญหาทางการเงิน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อการเสริมทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จริงอยู่ที่เราอาจจะเคยมีนักเตะระดับ เฟร์นานโด ตอร์เรส, ชาบี อลอนโซ่, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
หรือแม้แต่ หลุยส์ ซัวเรซ แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ไม่เคยรักษาแข้งเหล่านี้ให้เป็นแกนหลักของทีมในระยะยาวได้เลย
นั่นคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “หงส์แดง” ไม่อาจท้าชิงความสำเร็จกับคู่แข่งได้ดั่งใจหวัง
โอเคว่า เราอาจจะได้ลิ้มรสชาติความสำเร็จจาก เชราร์ อุลลิเย่ร์ ที่พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย
ไล่มาตั้งแต่ ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก ณ ปัจจุบัน), แชร์ริตี้ ชิลด์ (คอมมูนิตี้ ชิลด์ ณ ปัจจุบัน)
ได้เห็น ไมเคิ่ล โอเว่น คว้าบัลลงดอร์ในฐานะนักเตะของทีม หรือในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซใน อิสตันบูล
ด้วยการกลับมาคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของทีมทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง เอซี มิลาน ยุครวมดาราโลกถึงสามประตู
พร้อมกับความมหัศจรรย์ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ค่อยๆ ไต่เต้าจากเด็กในอคาเดมี สู่การเป็นสัญลักษณ์ของทีม
และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร หรือจะมีสตาร์ที่ว่ากันว่าเข้าขั้นระดับโลก
และเข้าสู่จุดพีคในชีวิตการค้าแข้งที่ ลิเวอร์พูล ทั้ง เฟร์นานโด ตอร์เรส, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็ยังไม่สามารถทำให้เหล่า “เดอะ ค็อป” สมหวังแต่อย่างใด...
อาจจะมีบางฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล ขยับเข้าใกล้กับโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุด แต่สุดท้ายเราก็ต้องออกอาการสะดุดพลาดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พอจะกลับมาสู้ในซีซั่นถัดไปก็ดันมาเสียนักเตะตัวหลักอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้วนไปวนมา มองไม่เห็นทางสว่างสักที...
#แล้วอะไรคือ “จุดเปลี่ยน” ?
นอกเหนือจากกลุ่มทุนเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป แล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเข้ามาของชายที่ชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์
เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2015 ได้ทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมามีชีวิตชีวา แข็งแกร่ง ดุดัน และเต็มไปด้วยความสวยงาม
ชื่อของ ลิเวอร์พูล ค่อยๆ กลับมาผงาด และพร้อมเดิมพันด้วยความสำเร็จอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ควบคู่ไปกับการสร้างทีมในแบบที่ คล็อปป์ ต้องการ
ในขวบปีแรกที่ คล็อปป์ รับไม้ต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เขาพา ลิเวอร์พูล จบด้วยการเป็นรองแชมป์ยูโรป้า ลีก
ขณะที่ผลงานในลีกอาจจะไม่สู้ดีนักหลังเก็บได้เพียง 60 คะแนนจาก 38 นัด จบอันดับ 8 ของตาราง และพลาดการไปเล่นในถ้วยยุโรป
#ซีซั่นถัดมา 2016/2017 จึงเป็นฤดูกาลที่กุนซือชาวเยอรมันรายนี้ได้พิสูจน์ฝีไม้ลายมือแบบเต็มๆ
แน่นอนเจ้าตัวเลือกมองตลาดนักเตะจาก บุนเดสลีกา เยอรมันเป็นลำดับแรก จึงทำให้ปีนั้น “หงส์แดง” ได้นักเตะจากเมืองเบียร์มาถึง 4 คน
บวกกับแข้งในพรีเมียร์ลีกอีกสอง รวมเป็นหกหน่อ
เหลือเชื่อว่า 3 จาก 6 ที่ คล็อปป์ ดึงมาในปีนั้น จะยังคงเป็นตัวหลัก และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จ ณ วินาทีนี้
ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม และโจเอล มาติป
แม้จะไร้โทรฟี่แชมป์ แต่อันดับในลีกของ “หงส์แดง” ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อันดับ 4) และได้กลับไปเล่นในถ้วยยุโรปอีกครั้ง
ทีมมีพัฒนาการที่เห็นเป็นรูปธรรมดีขึ้นทั้งเกมรุก และเกมรับ แต่ คล็อปป์ รู้ดีว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นจะต้องเดินเกมในตลาดซื้อให้นักเตะให้ชาญฉลาดยิ่งกว่าเก่า
เพื่อวางรากฐานให้มั่นคง พร้อมกับต้องเติมอาวุธให้ดุดันยิ่งขึ้นหากจะหวังความสำเร็จ และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญในการเล่นแร่แปรฐาน
ด้วยการนำเงินที่ได้จากการขายนักเตะอันดับหนึ่งของทีมอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มาเปลี่ยนเป็นกระดูกสันหลัง สมอง และหัวใจของทีมชุดปัจจุบัน
#โมฮาเหม็ดซาลาห์ แนวรุกอียิปต์ที่เพิ่งจะพา โรม่า จบรองแชมป์สคูเด็ตโต้มาแบบสุดๆ ร้อนๆ
#เวอร์จิลฟานไดจ์ค เดินทางมายัง แอนฟิลด์ ในฐานะกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก (ณ เวลานั้น)
#แอนดรูว์โรเบิร์ตสัน วิงแบ็กโนเนมจากทีมตกชั้นอย่าง ฮัลล์ ซิตี้
#อเล็กซ์อ็อกซ์เลดแชมเบอร์เลน สตาร์จาก อาร์เซน่อล ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองกับค่าตัว 35 ล้านปอนด์
ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูบานใหญ่ให้ ลิเวอร์พูล ขยับเข้าสู่ยุคของความยิ่งใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม
ทีมชุดนี้ไปไกลถึงการเป็นรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ท่ามกลางเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ในแต่ละรอบ
นอกจากนี้ คล็อปป์ ยังเข้ามาปฏิวัติรูปแบบการเล่น และคาแรกเตอร์ของทีม... ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่เน้นเกมรุกแบบสุดขั้ว
การเพรสซิ่งแบบถึงลูกถึงคน เน้นบอลเท้าสู่เท้ากับจังหวะเกมที่เร็วดั่งสายฟ้าฟาด การขึ้นเกมจากวิงแบ็กทั้งสองฝั่ง
ทั้งโรเบิร์ตสัน และดาวรุ่งลูกหม้อของทีมอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่พร้อมจะครอสบอลเล่นงานคู่แข่งทันทีที่มีโอกาส
เมื่อบวกกับตัวที่มีอยู่แล้วอย่าง มาเน่, ไวจ์นัลดุม และฟีร์มีโน่ “หงส์แดง” ชุดนี้ ก็เปรียบได้ดั่งน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่ถูกเคี่ยวมานับแรมปี รสชาติที่มีจึงกลมกล่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
เหนือสิ่งอื่นใด บรรยากาศ และมนต์ขลังของ แอนฟิลด์ ที่น่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งดูน่ากลัวชวนขนลุกมากกว่าเดิม ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่เล่นในบ้านได้อย่างทรงพลัง
พวกเขาพร้อมจะฆ่าใครก็ได้โดยไม่สนใจว่าสกอร์ก่อนหน้านั้นที่พบกันจะออกมาในรูปแบบไหน แอนฟิลด์ จึงเป็นอีกหนึ่งอาวุธชั้นดีที่ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน
ก็ไม่สามารถเสก หรือสร้างบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาได้ เพราะนี่คือบรรยากาศที่ถูกหล่อหลอมจากความเป็น ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง
เมื่อทุกอย่างลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องรับมือมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นทีคงหนีไม่พ้นคำว่า “ความกดดัน” ที่เพิ่มสูงขึ้นตามเงา
ทำให้ปี 2018/2019 ลิเวอร์พูล จึงตัดสินใจทุ่มเงินในตลาดซื้อขายนักเตะมากถึง 160.7 ล้านปอนด์ มากกว่าฤดูกาล 2016/2017
ที่ คล็อปป์ ได้คุมทีมตั้งแต่ต้นฤดูกาลถึง 100 ล้านปอนด์
เงินจำนวนมากดังที่กล่าวไปนั้น แลกมากับการยกระดับทีมขั้นสุด โดยเฉพาะเกมรับ พวกเขาได้ อลิสสัน (อลิสซง) นายทวารมือหนึ่งทีมชาติบราซิล จาก โรม่า
ในราคามหาศาล บวกกับ ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับจาก โมนาโก รวมถึงตัวตายตัวแทนหมายเลข 8 ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อย่าง นาบี เกอิต้า
ด้วยค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับสามในการซื้อขายนักเตะของสโมสร ควบคู่ไปกับการปล่อยตัวแข้งที่ไม่จำเป็นออกไป
ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ก้าวขึ้นมาท้าชิงความยิ่งใหญ่ในศึกพรีเมียร์ลีก และเวทียุโรปได้อย่างเต็มตัว พวกเขาทำผลงานในลีกได้อย่างยอดเยี่ยม
ด้วยการเก็บได้ถึง 97 คะแนนจาก 38 นัด พร้อมกับถล่มประตูไปกว่า 89 ประตูในลีก และพลาดท่าพ่ายไปเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น
แต่เราไม่ได้แชมป์…
ก็เพราะความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเอติฮัด บวกกับการสะดุดไปเสมอถึง 4 จาก 6 นัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ได้ดับฝันการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบเฉียดๆ สามทศวรรษของ ลิเวอร์พูล ไปอย่างชอกช้ำ เพราะตารางคะแนนบอกให้ทุกคนรู้ว่า
ยิดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ มีคะแนนตามหลัง “เรือใบสีฟ้า” ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น
แม้จะมีโทรฟี่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มาประดับตู้โชว์เพิ่ม แต่ คล็อปป์ ก็ยังเชื่อว่างานของเขาในถิ่นแอนฟิลด์นั้นยังไม่บรรลุเป้า
เพราะเป้าหมายสูงสุดที่เหล่า “เดอะ ค็อป” ทั้งโลกเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิตนั่นก็คือ “แชมป์พรีเมียร์ลีก”
2019/2020 จึงเป็นปีที่เต็มไปด้วยความหมายกับชีวิต “เดอะ ค็อป” อย่างยิ่ง
เพราะหากเราลองเปรียบช่วงเวลาของการรอคอยกว่า 30 ปีเป็นใครสักคน ใครคนนั้นก็คงเป็นชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในวัยที่ต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนของชีวิตมากมาย
ไม่ว่าจะทั้งเรื่องงาน ครอบครัว ความรับผิดชอบที่มากจนบางครั้งก็อยากจะหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
มันคือรอยต่อว่าเรากำลังจะก้าวไปข้างหน้า หรือเราไปได้ไกลเพียงแค่นี้…
และลิเวอร์พูล ตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ได้ แม้ว่าจะมีกำแพงอุปสรรคเข้ามาขวางกั้น… กำแพงนั้นอาจจะตั้งตระหง่านมากว่า 30 ปี
แต่ ณ วินาทีนี้ เราทุบกำแพงนั้นทิ้งได้สำเร็จแล้ว ไม่มีปีที่ 31 อีกต่อไป ทุกอย่าง ทุกการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว
ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก มันคือการคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยพบเจอในชีวิต โลกทั้งใบแทบจะหยุดหมุนทันที
ที่เสียงนกหวีดจาก สแตมฟอร์ด บริดจ์ สิ้นสุดลง เราไม่เคยเห็นโลกใบนี้พูดถึงการคว้าแชมป์ของใครมากไปกว่าแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ในวันนี้
เพราะทุกคนรู้ดีว่าแชมป์ในวันนี้มันต้องแลกมาด้วยการรอคอยนานถึงสามทศวรรษ
มี “เดอะ ค็อป” มากมายที่ใฝ่ฝันจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแชมป์ในวันนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็มี “เดอะ ค็อป”
อีกหลายๆ คนที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสวันแห่งความสำเร็จครั้งนี้ แต่แน่นอนว่า เราจะอฐิษฐาน และบอกคุณให้รู้ว่า “สิ้นสุดการรอคอยแล้ว”
เราเชื่อว่าพลังงานของความดีใจในครั้งนี้จะทำให้คุณได้รับรู้ ได้พักผ่อนได้อย่างมีความสุข และสงบอย่างแท้จริง
ยังเหลืออีก 7 นัดให้ ลิเวอร์พูล ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกมากมาย แต่แน่นอนว่าถึงตรงนี้ เหล่า “เดอะ ค็อป”
ทั้งโลกต่างกำลังตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ให้ได้นานที่สุด เพราะนี่คือความสุขอันแสนหอมหวาน และช่างคุ้มค่ากับการรอคอยอยทางแท้จริง
เราขอแสดงความยินดีกับแฟนบอลลิเวอร์พูลทุกๆ คน กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอันยิ่งใหญ่ในวันนี้ เราไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดวลี
และเพลง “You’ll Never Walk Alone” จึงเป็นเครื่องการันตีถึงความยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เพราะทุกๆ สิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลได้มอบให้กับทีมรัก
มันทำให้เราได้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมมืดที่สุดของโลกใบนี้ หมุมที่เงียบสงัดที่สุด หรือโดดเดี่ยวแค่ไหนก็ตาม หากแต่ถ้าคุณคือ “เดอะ ค็อป” โปรดจงรู้ไว้เลยว่า
“คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย”
“YNWA”
26 มิถุนายน 2563
“แด่แชมป์อันยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล”
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น
ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SWOF #Liverpool #Champion #PremierLeague #หงษ์แดง