BACK

 

 

10th YEARS TOGETHER

23 พ.ย. 2563

10th YEARS TOGETHER
"10 ปีแห่งมิตรภาพ" กับสเต็ปต่อไปสู่การทวงความยิ่งใหญ่ของ เชลซี

แม้ผลการแข่งขันในเกมนัดล่าสุดกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จะไม่เป็นใจ หลัง “สิงห์บลู” ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างชอกช้ำ 3-2
ทำให้พวกเขาต้องเสียสถิติอันสวยหรูนับตั้งแต่ที่พรีเมียร์ลีกลับมาลงแข่งอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด - 19 ในยุโรปค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

นอกจากนี้ ความพ่ายแพ้ดังกล่าว ยังถือเป็นความปราชัยในการประเดิมชุดแข่งใหม่ที่จะใช้ในฤดูกาลหน้า (2020/2021) อีกด้วย

แน่นอนว่าความพ่ายแพ้นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ใจ เพราะอย่างแรกทำให้สถานการณ์การแย่งตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของพรีเมียร์ลีกนั้นระอุขึ้นมาทันตาเห็น
เพราะทีมที่ไล่พวกเขามาติดๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นเดินหน้ารักษาฟอร์มการเล่นอันแข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่อง
จนทำคะแนนไล่จี้ เชลซี เหลือเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น เช่นเดียวกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ที่เดินหน้าเก็บ 9 คะแนนเต็มจากสามนัดล่าสุด
จนมีแต้มเท่ากับ “ ปีศาจแดง” ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ นั้นมีแต้มเหนือ “สิงห์บลู” อยู่ 1 คะแนนด้วยกัน

ในเมื่อ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การันตีพื้นที่ฟุตบอลยุโรปแน่นอนแล้ว ดังนั้น ตั๋วสองใบสุดท้ายกับผู้ท้าชิงถึง 4 ทีม
นี่จึงเป็นสิ่งที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด และลูกทีมจะต้องย้ำเตือนตัวเองให้ขึ้นใจว่า เชลซี จะพลาดไม่ได้อีกแล้วในอีก 6 นัดที่เหลือต่อจากนี้

โดยหลังจบเกม แฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ออกมาสัมภาษณ์ในทำนองว่า ลูกทีมเขาสมควรเป็นผู้ชนะในเกมนี้มากกว่า หากกวาดตาดูสถิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเกมนี้...

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทีมที่บุกเยอะกว่า หรือครองบอลเยอะกว่าก็ไม่จำเป็นต้องคว้าชัยชนะได้เสมอไป
และความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็อาจจะทำให้คุณต้องตกเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ นี่คือบทเรียนอันล้ำค่าที่ย้อนกลับมาเตือนสติ เชลซี อีกครั้งว่า
หนทางสู่บัลลังก์ความยิ่งใหญ่อีกครั้งนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องเดินเกมในตลาดซื้อขายนักเตะอย่างรอบคอบ
โดยเฉพาะการมองหาแข้งระดับเวิลด์คลาสอย่างน้อยอีกสักสองคน เพื่อยกระดับ และต่อกรกับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ได้

หากเรามองในแง่ดี แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำให้เราได้มองเห็น “จุดอ่อน” ที่ต้องได้รับการแก้ไขอยู่พอสมควร
แน่นอนว่าอย่างแรกเลยที่ต้องเร่งแก้เลยคือ “เกมรับ”

อันเดรียส คริสเตนเซ่น และอันโตนิโอ รูดิเกอร์ ไม่ได้เป็นนักเตะที่แย่ หากแต่ถ้า เชลซี ต้องการจะขยับเข้าไปอยู่ในจุดเดียวกับ ลิเวอร์พูล
และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาจำเป็นต้องมองหาเซนเตอร์ฮาล์ฟระดับท็อปมาอย่างน้อยหนึ่งคน เฉกเช่นที่ทีมคู่แข่งมี เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค หรือ อายเมริค ลาป็อร์กต์

เพราะการเสียถึง 44 ประตู จาก 32 นัด เรียกได้ว่าเสียเท่ากับทีมอันดับ 15 ของตารางอย่าง ไบรท์ตัน ด้วยซ้ำ ขณะที่ วัตฟอร์ด
ซึ่งมีคะแนนอยู่ห่างจากโซนตกชั้นแค่คะแนนเดียวก็เสียประตูมากกว่า เชลซี แค่ 5 ลูกเท่านั้น สถิติเหล่านี้เปรียบให้เห็นได้ชัดเลยว่า
เชลซี ต้องรีบแก้จุดอ่อนในเกมรับเป็นการด่วนโดยไม่มีข้อแม้ ดั่งวลีที่ว่า “เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณได้แชมป์”

ขณะที่เกมรุก แน่นอนว่าการติดโทษแบบห้ามซื้อขายนักเตะร่วมปี ย่อมทำให้ศักยภาพโดยรวมของ “สิงห์บลู” นั้นตามหลังทีมระดับท็อปในลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(ถ้าวัดจากจำนวนประตูที่ตามหลัง ลิเวอร์พูล 13 ประตู, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 24 ประตู) ดังนั้น การหลุดพ้นจากโทษแบนครั้งนี้
จะถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่นับตั้งแต่การก้าวเข้ามาเป็นพันธมิตรกันระหว่าง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น กับ เชลซี
เพราะถึงวินาทีนี้ เชลซี ได้ทั้ง ติโม แวร์เนอร์ แนวรุกดีกรีทีมชาติเยอรมันจาก อาร์เบ ไลป์ซิก รวมถึง ฮาคิม ซิเย็ค พ่อมดลูกหนังจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

ทั้งสองจะกลายเป็นส่วมผสมอันสำคัญที่ทำให้ แลมพาร์ด และสาวกสิงห์บลู ได้วาดฝันถึงการคัมแบ็คสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
เพราะทุกคนต่างทราบดีว่า แวร์เนอร์ คือเพชรเม็ดงามแห่งวงการลูกหนังเยอรมัน จุดเด่นของเจ้าตัวคือ สามารถเล่นได้ทุกพื้นที่ในเกมรุก
สร้างโอกาสให้กับเพื่อนได้ และที่สำคัญ เขาเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณการเป็นนักล่า และพร้อมจะปลิดชีพคู่แข่งทันทีด้วยการจบสกอร์อันคมกริบ

การออกมายอมรับว่าเขาปฏิเสธข้อเสนอของสองทีมยักษ์ใหญ่เพื่อมาซบ เชลซี จึงเปรียบได้ดั่งความไว้วางใจที่มีต่อทีม
และพร้อมจะฝากอนาคตไว้ใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ อย่างไร้ข้อครหา

ขณะที่ ซิเย็ค ผลงาน 49 ประตู จาก 165 เกม พร้อมกับช่วยทีมคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ และดัตช์คัพอย่างละ 1 สมัย รวมถึงโชว์ความมหัศจรรย์
จนเกือบพา อาแจ็กซ์ สร้างเซอร์ไพรส์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือเป็นภาพจำที่ชัดเจน และตราตรึงใจจนทำให้ เชลซี อดไม่ไหว
ที่จะต้องปิดดีลเจ้าตัว นี่คือการตอกย้ำว่า เชลซี พร้อมแล้วที่จะเดินกลับสู่เส้นทางของความยิ่งใหญ่ควบคู่ไปกับมิตรภาพของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น

นี่ยังไม่นับกระแสข่าวกับแข้งระดับท็อปทั้ง ดาวิด อลาบา, เบน ชิลเวลล์, ไค ฮาเวิร์ตซ์, เจดอน ซานโช่, ดีแคลน ไรซ์
หรือแม้กระทั่ง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เชื่อได้เลยว่า เหล่าสาวกสิงห์บลู กำลังใจจดใจจ่อกับตลาดซื้อขายนักเตะในรอบหน้าอย่างแน่นอน

ตลอดทศวรรษแห่งมิตรภาพ เชลซี คือหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ และยุโรป พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมจากโทรฟี่แชมป์ดังนี้

พรีเมียร์ลีก สองสมัย (2014/2015 และ 2016/2017)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (2011/2012)
ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก สองสมัย (2012/2013, 2018/2019)
เอฟเอ คัพ สองสมัย (2011/2012, 2017/2018)
ลีกคัพ (2014/2015)

นี่คือบทพิสูจน์ 10 ปี แห่งคุณภาพ ทศวรรษแห่งความร่วมมือ ความทุ่มเท และความจริงใจที่จะช่วยกันก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เชื่อได้เลยว่าฤดูกาลหน้า จะเป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ พรีเมียร์ลีก และวงการฟุตบอลในยุโรปต้องสั่นสะเทือน
เพราะ เชลซี พร้อมแล้วที่จะคัมแบ็กกลับสู่เส้นทางของความสำเร็จนั่นคือ บัลลังก์แชมป์ อย่างเต็มตัว !!!

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น
ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!

#SWOF #SinghaWorldOfFootball #Chelsea #HakimZiyech #TimoWerner #10thYEARSTOGETHER

 

 

 

BACK