"หงส์แดง - หมาป่า" สองแมตช์สุดท้ายวัดใจ เชลซี การันตีตั๋วลุยยุโรป
22 ครั้ง คือโอกาสในการลุ้นพังประตูทั้งเกมของ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
คู่แข่งของพวกเขาคือ นอริช ซิตี้ ทีมอันดับสุดท้ายของตาราง ที่ทั้งฤดูกาลพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะในฐานะทีมเยือนได้แค่แมตช์เดียวเท่านั้น
แถมยังมีเกมรับแย่ที่สุดในลีก
นี่ยังไม่นับเปอร์เซ็นต์การครองบอลอีกกว่า 67.7 % เตะมุม 8 หน บวกกับการผ่านบอลในสนาม 772 ครั้ง รวมถึงสัมผัสบอลในสนามอีกเฉียดๆ พันครั้ง
หากดูเผินๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แน่นอนสถิติในเกมดังกล่าวน่าจะพอประมาณการได้ว่า เชลซี น่าจะถลุงประตูยับเป็นแน่
แต่สุดท้าย สกอร์ที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้หลายๆ คนต่างรู้สึกวิตกกังวลถึงเส้นทางในอีกสองเกมสุดท้ายของ เชลซี
เพราะประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมจาก โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ นั้น ได้เปิดแผลค่อนข้างใหญ่ให้ทุกคนเห็นนั่นคือ “ความเด็ดขาดในพื้นที่สุดท้าย”
ที่ เชลซี ยังขาดหายไปจริงๆ นับตั้งแต่หมดยุคของ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา
ยังโชคดีที่สุดท้าย เชลซี ยังสามารถเก็บสามคะแนนสำคัญ และส่งให้พวกเขายังคงอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างได้เปรียบกว่า
เลสเตอร์ ซิตี้ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ไปสะดุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน
แต่เพื่อความไม่ประมาท การตั้งเป้าคว้าชัยเหนือทีมแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล และทีมอันดับหกอย่าง วูลฟ์แฮมป์ตัน
จึงเป็นภารกิจที่สุดหินที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และ เชลซี เองก็จำเป็นต้องใส่เกินร้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
เราขอเสนอแบบจำลองกรณีอันเลวร้ายที่สุด ที่อาจจะทำให้ เชลซี ไม่ได้ไปอวดฝีเท้าในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปซีซั่นหน้า ด้วย “สองสเต็ป” นี้คือ
สเต็ปแรก : เชลซี แพ้ทั้ง ลิเวอร์พูล และวูล์ฟแฮมป์ตัน จะทำให้พวกเขาปิดฉากฤดูกาลนี้ด้วยจำนวน 63 คะแนน
พร้อมกับสถิติเสียประตูเกินหลัก 50 ประตู และแพ้ 13 เกม
สเต็ปที่สอง : เลสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บได้อย่างน้อย 6 จาก 9 คะแนนในมือ (ทั้งสองทีมเหลือโปรแกรมเตะอีกสามนัด)
จะทำให้ทั้ง “จิ้งจอกสยาม” และ “ปีศาจแดง” มีอย่างน้องทีมละ 65 คะแนน ซึ่งดีพอที่จะเบียด เชลซี กระเด็นจากพื้นที่ Top 4 ทันที
ทั้งนี้ ทั้งสองทีมมีโปรแกรมตัดกันในเกมสุดท้ายของฤดูกาล แต่แมตช์นั้นจะไม่มีความหมายเลย ถ้า เชลซี แพ้ วูล์ฟส์ ในแมตช์สุดท้ายเช่นกัน
ในเมื่อฟุตบอลไม่ใช่คณิตศาสตร์ และอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกลูกหนัง ดังนั้น สิ่งเดียวที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด
และลูกทีมต้องคิดก็คือ พวกเขาจะต้องทำอย่างไรเพื่อเอาชนะทั้ง ลิเวอร์พูล และวูล์ฟแฮมป์ตัน ให้ได้เท่านั้น
เพราะขึ้นชื่อว่าการได้ยืนหยัด และหายใจด้วยจมูกของเราเอง ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอในโลกแห่งความเป็นจริง
ทีนี้เราย้อนกลับมาในเกมนัดล่าสุดที่พบกับ นอริช ซิตี้ จะเห็นว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด ให้ความสำคัญกับการโรเตชั่นทีมมากเป็นพิเศษ
หลังจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กระซวกไปถึงสามแผลชนิดช็อกแฟนบอลทั้งโลก
จนทำเอาเหล่าสาวก “สิงห์บลู” เริ่มออกอาการหวั่นใจกับพื้นที่ไปลุย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ดังนั้น แลมพาร์ด
จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเร่งปรับทัพ และหวังเผด็จศึกทีมบ๊วยของพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้อย่าง นอริช ซิตี้ ให้ได้สถานเดียว
เกมนี้เราเห็นว่า ทั้ง มาร์กอส อลอนโซ่ รวมถึง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ต่างมีโอกาสได้เติมเกมชนิดแทบจะสุดเส้น
และได้เปิดหักข้อกลับมาในพื้นที่อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นคือการส่งสัญญาณไปยังทีมอื่นๆ ว่า เกมริมเส้นของพวกเขานั้นยังพอมีความอันตราย
หากแต่ประเด็นสำคัญที่เหล่ากูรูลูกหนังทั่วโลกต่างมองว่า อาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ เชลซี ตกม้าตายได้ก็คือ “ความเด็ดขาด”
64 ประตูที่ เชลซี ทำได้ในฤดูกาลนี้ (นับถึงนัดที่ 36) พบว่า มีเพียงแค่ แทมมี่ อับราฮัม คนเดียวเท่านั้นที่ยิงได้มากกว่า 10 ลูก (14 ประตู)
ขณะที่นักเตะในตำแหน่ง Target Man (ศูนย์หน้าตัวเป้า) อีกคนอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ก็ทำไปเพียงแค่ 6 เม็ดเท่านั้น
และถ้าเราหักลบประตูที่ วิลเลี่ยน และคริสเตียน พูลิซิช ทำได้ ก็จะเห็นอีกว่า ประตูที่ “สิงห์บลู” ทำได้จะหายไปอีกถึง 17 ประตู
คิดเป็น 1 ใน 4 ของประตูที่ เชลซี ทำได้ทั้งหมดในพรีเมียร์ลีก
สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเราว่า เกือบๆ 60% ของประตูที่ เชลซี ทำได้นั้นมาจากนักเตะเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น !!!
เท่านั้นยังไม่พอครับ อีกหนึ่งสถิติอันน่าทึ่งของ เชลซี ในซีซั่นนี้ก็คือ พวกเขาคือทีมที่มีโอกาสพังประตูคู่แข่งมากที่สุดเป็นอันดับสองของลีก
(604 ครั้ง เฉลี่ยแมตช์ละ 16 ครั้ง) น้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่เพียงทีมเดียวเท่านั้น นั่นคือการบ้านที่ แลมพาร์ด
คงต้องกลับมาทบทวนกับลูกทีมอีกครั้งแล้วว่า จะต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้ประสิธิภาพในการจบสกอร์ของ เชลซี กลับมาอยู่ในจุดที่ไม่ห่างจากทีมใหญ่อื่นๆ ไปมากกว่านี้
เพราะในเมื่อพวกเขาสามารถสร้างสรรค์โอกาสในการเข้าทำได้อย่างยอดเยี่ยม และบ่อยครั้งแล้ว หากเพียงแต่เพิ่มความเด็ดขาดเข้าไป
บางที แลมพาร์ด และลูกทีมก็อาจจะไม่ต้องมากังวลใจในสองเกมสุดท้ายของซีซั่นด้วยซ้ำ
การไปเล่นที่ แอนฟิลด์ ในตอนแรก หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเกมที่ไม่หนักอย่างที่คิด เพราะ ลิเวอร์พูล เองก็คว้าแชมป์ไปแล้ว
บวกกับการที่ คล็อปป์ เลือกที่จะลองแทคติก และตัวผู้เล่นมาตลอด นับตั้งแต่ที่รู้ว่าทีมของตนการันตีโทรฟี่แชมป์แน่ๆ
หากแต่การพบกันครั้งนี้มีความแตกต่างออกไปจากนัดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะนี่คือวันที่ “หงส์แดง” จะได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากศึกดิวิชั่น 1 (เดิม) จากการมอบของอดีตนักเตะ - ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพวกเขาอย่าง เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช
เชื่อได้เลยว่า นี่จะเป็นเกมที่ เชลซี จะได้เผชิญกับเกมรุกชุดใหญ่ของเจ้าถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ถ้า แลมพาร์ด สามารถวางแทคติกที่รับกุม
โดยเฉพาะเกมรับ บีบให้ ลิเวอร์พูล เผชิญกับความอึดอัดในการหาทางเจาะกำแพงสีน้ำเงิน พร้อมกับรอจังหวะในเกมสวนกลับ
ของ วิลเลี่ยน, พูลิซิช หรือแม้แต่การเติมเกมริมเส้นสองฝั่ง เชื่อว่า เชลซี ก็ยังมีโอกาสสร้างเซอร์ไพรส์ได้เช่นกัน ด้วยคุณภาพของแทคติก
และแรงจูงใจจากเป้าหมายก่อนลงสนาม
รวมถึงการพบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในนัดสุดท้าย เชื่อว่าจะยังเป็นเกมที่ทั้งสองทีมต่างเดินหน้าแลกหมัดไม่ต่างจากนัดแรกที่ โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม
จนมีสกอร์ให้เรายลกันถึง 7 ประตู พร้อมกับแฮตทริกของ แทมมี่ อับราฮัม ซึ่งเกมนั้นสิ่งที่ เชลซี ทำได้อย่างยอดเยี่ยมนั่นก็คือ
“ความเด็ดขาดในการจบสกอร์” หลังพวกเขาทำได้ถึง 5 ประตูการการยิงเข้ากรอบ 6 ครั้ง
นี่คือสมดุลของคุณภาพ และปริมาณ ที่ เชลซี จำเป็นต้องเรียกกลับมาให้เร็วที่สุด เพื่อต่อยอดไปสู่เป้าหมาย และความสำเร็จที่วางเอาไว้ในอนาคตอันใกล้นี้
ฉะนั้น สองเกมสุดท้ายของ เชลซี ในการบุกไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ก่อนจะกลับมาบดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน
ในเกมนัดปิดฤดูกาลที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จึงเป็นโจทย์ที่สุดท้าทายความสามารถทั้งร่างกาย และจิตใจของ เชลซี ในฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง
ว่าสุดท้ายแล้ว แฟรงค์ แลมพาร์ด และทัพ “สิงห์บลู” นั้นดีพอที่จะเป็นตัวแทนจากเกาะอังกฤษไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้าหรือไม่
พร้อมกับกุญแจดอกใหม่ๆ ที่รอมาเติมความเด็ดขาดให้กับทีมอย่าง ติโม แวร์เนอร์, ฮาคิม ซิเย็ค และสตาร์อีกหลายๆ คนที่รอเปิดตัวในอีกไม่นานต่อจากนี้ !!!
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SWOF #Chelsea #Liverpool #Wolverhampton