“ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ พรีเมียร์ลีก พรีวิว”
“ลิเวอร์พูล” ในวันที่เตรียมรับโทรฟี่แชมป์ VS “เชลซี”
ที่ขอสามแต้มการันตีตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก
แม้ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้จะได้บทสรุปเรื่องแชมป์ไปแล้ว แต่ทว่าการโคจรมาพบกันของ ลิเวอร์พูล และเชลซี ในเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล
ก็ยังคงการันตีได้ถึงความดุเดือด และเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีความเป็นทีมยักษ์ใหญ่บนเกาะอังกฤษ ดั่งที่กูรูลูกหนังเมืองผู้ดีหลายๆ คนต่างยกให้เกมคู่นี้
คือ “ซูเปอร์บิ๊กแมตช์” ในช่วงโค้งสุดท้าย
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ถึงเกมคู่นี้ว่ามีมุมไหน ประเด็นใดที่น่าติดตามบ้าง สภาพความพร้อมล่าสุดของทั้งสองทีม
และใครกันที่จะมีโอกาสคว้าสามคะแนนสำคัญในแมตช์นี้ที่ แอนฟิลด์ เริ่มคิกออฟในคืนวันพุธที่ 22 กรกฎาคม (เช้าวันพฤหัสฯ) เวลา 02.15 น.
#ลิเวอร์พูล
การควานหาชัยชนะไม่เจอมาสองเกมติดสำหรับทีมอื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล นี่คือปัญหาใหญ่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์
จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นแชมป์ที่มีบาดแผลไปมากกว่านี้ เพราะนับตั้งแต่ที่ “หงส์แดง” การันตีโทฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกได้แล้ว
พวกเขากลับหลุดฟอร์มออกไปดื้อๆ นับตั้งแต่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มยับไปถึง 4-0, ผลเสมอ เบิร์นลีย์ ที่แอนฟิลด์แบบอึดอัดใจแฟนบอล
ก่อนจะพ่ายต่อ อาร์เซน่อล จากความผิดพลาดในแนวรับทั้งสองประตู จนทำให้พวกเขาหมดโอกาสในการสร้างสถิติทำคะแนนแตะหลักร้อยไปโดยปริยาย
แม้ คล็อปป์ จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นบทเรียนชั้นดีที่ทำให้ทุกๆ คนในทีมต้องเรียนรู้
แต่เชื่อได้เลยว่าการลงสนามพบกับ เชลซี ในวันที่ทุกคนในทีมต่างรู้ดีว่าจะมีพิธีการมอบถ้วยแชมป์รออยู่นั้นจะเป็นแรงกระตุ้น
ที่ทำให้ทีมจำเป็นต้องลืมความผิดหวังจากแมตช์ที่พ่ายต่อ อาร์เซน่อล ไปให้หมด เพื่อเดินหน้าคว้าสามคะแนนเหนือ เชลซี ให้ได้
ตลอดจนยังเป็นการเรียกความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างทันควัน
แม้จะก่อความผิดพลาดมาสดๆ ร้อนๆ แต่ อลิสซง ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เฝ้าเสาในฐานะผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์แอนฟิลด์ไม่มีเปลี่ยน
ส่วนแนวรับยังคงยึดแผงเดิมทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และลูกหม้ออย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
ขณะที่แผงมิดฟิลด์ คาดว่า “หงส์แดง” จะยึดทีมจากชุดที่พ่าย อาร์เซน่อล เป็นหลักทั้ง ฟาบินโญ่ และไวจ์นัลดุม โดยมี นาบี เกอิต้า
เป็นตัวสอดแทรกแทนที่ อเล็กซ์ อ็อกซเลด แชมเบอร์เลน ส่วนสามประสานในแดนหน้ายังจัดเต็มทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่
#เชลซี
ชัยชนะเหนือ นอริช ซิตี้ ในลีก และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเอฟเอ คัพ น่าจะสร้างขวัญ และกำลังในให้กับทุกคนในทีมได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะจังหวะการเซตเกมรุก ก่อนจะใช้ลูกประสบการณ์ของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เล่นงานแนวรับ “ปีศาจแดง”
จึงบอกได้เลยว่านี่คือสัญญาณที่ดีของทัพ “สิงห์บลู” ก่อนจะลงเล่นในอีกหนึ่งนัดที่ “มีความหมาย” มากที่สุดในฤดูกาลนี้กับ ลิเวอร์พูล
เพราะนี่คือโอกาสอันดีที่พวกเขาจะปิดจ็อบของตัวเองในซีซั่นนี้นั่นคือ การการันตีพื้นที่ท็อปโฟร์ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
เนื่องจากนี่เป็นเกมที่เจ้าถิ่นเตรียมชูโทรฟี่แชมป์หลังจากจบเกม ดังนั้นสิ่งที่เหล่าสาวก “สิงห์บลู” รวมถึงแฟรงค์ แลมพาร์ด
และนักเตะต่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องเผชิญในเกมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ “ความมุ่งมั่น” ที่จะเอาชนะของ ลิเวอร์พูล และความน่ากลัวของเกมรุกเจ้าถิ่น
ที่ต้องการเรียกความมั่นใจมาจากสองเกมก่อนหน้านี้ มันอาจจะเป็นบททดสอบที่ไม่ง่ายในยามที่ เชลซี ก็ต้องการชัยชนะเช่นเดียวกัน
หากแต่ถ้า แลมพาร์ด ตีโจทย์ให้แตก พวกเขาจะรู้ได้ตั้งแต่ก่อนลงสนามว่า ควรจะงัดวิธีใดเพื่อไปต่อกรกับแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้
การสร้างความอึดอัดในการครองเกมของ ลิเวอร์พูล บวกกับการเล่นด้วยความรัดกุม อดทน และพร้อมฉกฉวยโอกาสโดยใช้เทคนิคจาก วิลเลี่ยน หรือ พูลิซิช
น่าจะเปิดโอกาสให้ “สิงห์บลู” ได้ลุ้นสามคะแนนไปไม่น้อยกว่าเจ้าถิ่น และนี่คือการบ้านข้อใหญ่ที่ แลมพาร์ด ต้องทำให้ได้ ทำให้ได้ และทำให้ได้
สื่อเมืองผู้ดีมองว่า เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ยังคงเป็นมือหนึ่งในแมตช์สำคัญไม่เปลี่ยน ส่วนแนวรับ จริงอยู่ที่ชื่อของ เคิร์ท ซูม่า กับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์
อาจจะยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับแฟนบอลได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในเกมที่อาจจะต้องใช้ลูกหนักเข้าหยุดยั้งทั้ง ซาลาห์, มาเน่ และฟีร์มีโน่
บางทีทั้งคู่อาจจะตอบโจทย์กับแทคติกแบบนี้ พร้อมขนาบข้างด้วย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และดาวรุ่งอย่าง รีซ เจมส์
เป็นที่น่าเสียดายว่า แลมพาร์ด จะหมดสิทธิ์ใช้งาน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ยังบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าอยู่ ทำให้บทบาทของตัวตัดเกม
คงหนีไม่พ้น จอร์จินโญ่ ส่วน มาเตโอ โควาซิช และมาร์กอส อลอนโซ่ รับบทคู่มิดฟิลด์ที่ต้องทำหน้าที่ไล่บี้ ไล่บดแดนกลางของเจ้าถิ่นที่ถนัดครองบอลตลอดทั้งเกม
จึงเป็นเหตุผลที่ แลมพาร์ด ต้องเลือกใช้ผู้เล่นที่เน้นเกมรับมากกว่าปกติตรงจุดนี้ ส่วนเกมรุกยกให้เป็นหน้าที่ของ วิลเลี่ยน กับ คริสเตียน พูลิซิช
โดยมี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ปักหลักเป็นยักษ์ในกรอบ 18 หลาเพื่อชนกับ ฟาน ไดจ์ค เต็มๆ
#บทวิเคราะห์
ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่านี่คือ “ซูเปอร์บิ๊กแมตช์” ที่เต็มไปด้วยความสูสี จนยากที่จะบอกว่าใครมีโอกาสได้สามคะแนนมากกว่ากัน
เพราะฝั่ง ลิเวอร์พูล เอง ก็ไม่ต้องการให้งานฉลองโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดที่พวกเขารอคอยมานานกว่า 30 ปี
ต้องดูกร่อยลงไปจากความพ่ายแพ้ต่อทีมจากกรุงลอนดอนถึงสองเกมติด (ก่อนหน้านี้ แพ้ อาร์เซน่อล) เชื่อว่ายังไง เยอร์เก้น คล็อปป์ เอง
ก็คงต้องเน้นกับลูกทีมถึงการพยายามรักษาโมเมนตั้มของทีมให้ได้ เพื่อชดเชยความรู้สึกของเหล่า “เดอะ ค็อป” ที่อดทนเฝ้ารอแชมป์ลีกมานานจริงๆ
มองดูแล้ว เราคงได้เห็นเจ้าถิ่นเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกเข้าใส่อาคันตุกะจาก ลอนดอน ตั้งแต่วินาทีแรกของเกมเป็นแน่
ขณะที่ “สิงห์บลู” เองก็ต้องลงเล่นเพื่อเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเขาเองนั่นคือ การการันตีพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าให้ได้
จริงอยู่ที่ เชลซี อาจจะได้เปรียบ เลสเตอร์ ซิตี้ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลลูกกลมๆ หากคุณประมาทก่อนเริ่มเกม
นั่นเท่ากับว่าคุณตายไปครึ่งตัวแล้ว ฉะนั้น สิ่งเดียวที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด และลูกทีมจะต้องท่องให้ขึ้นใจนั่นก็คือ เล่นให้เต็มที่
และเอาชัยชนะกลับลอนดอนให้ได้สถานเดียว เพราะโปรเจคในซีซั่นหน้าของพวกเขานั้นช่างยิ่งใหญ่ และอุดมไปด้วยแข้งระดับพระกาฬ
ที่การันตีมาแล้วอย่างน้อยสองคนทั้ง ติโม แวร์เนอร์ และฮาคิม ซิเย็ค นี่ยังไม่รวม ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่จ่อจะกลายร่างเป็น “สิงห์บลู” ตัวใหม่
หากพวกเขาพลาดตั๋วถ้วยยุโรปใบใหญ่ รับรองได้ว่าคงเป็นอะไรที่ป่วนวงการลูกหนังโลกอย่างแน่นอน
ความน่าสนใจของเกมคู่นี้นอกจากการเป็นสองทีมยักษ์ใหญ่แล้วก็คือ ลิเวอร์พูล คือทีมที่เล่นในบ้านได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ (ชนะ 17 เสมอ 1 แพ้ 0)
พร้อมกับถล่มประตูคู่แข่งในแอนฟิลด์ได้มากถึง 47 ประตู (เป็นรอง แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียว) และยังเป็นทีมที่มีเกมรับในบ้านดีที่สุดในลีก (เสีย 13 ประตู)
ขณะที่ เชลซี ในฤดูกาลนี้พวกเขาเก็บได้ถึง 30 คะแนนจาก 18 นัดในฐานะทีมเยือน ดีที่สุดเป็นอันดับ 4 ของลีก
และยังสอยตาข่ายคู่แข่งในเกมเยือนได้ดีเป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียว ดังนั้นหากจะบอกว่า ใครเหนือกว่าใครแบบชัดๆ นั้น
เห็นทีคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย หากแต่การที่ เชลซี ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2014 ที่พวกเขาบุกมาอัด “หงส์แดง” ถึงถิ่นได้เป็นครั้งล่าสุด (ในลีก)
จากประตูของ แกรี่ เคฮิลล์ และดิดีเย่ร์ ดร็อกบา อาจจะเป็นแรงผลักดันให้ “สิงห์บลู” ต้องการยุติสถิติดังกล่าวให้ได้สักทีในคืนนี้
“หงส์แดง” จะได้ชูถ้วยแชมป์ไปพร้อมกับชัยชนะที่ แอนฟิลด์ หรือจะเป็น “สิงห์บลู” ที่ได้เริงร่ากลับลอนดอนพร้อมกับตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกในมือ
ร่วมลุ้นไปพร้อมๆ กันในเวลา 02.15 น. คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #Chelsea #Liverpool #PremierLeague