BACK

 

 

5 บทสรุปสุดบีบหัวใจ ส่งท้ายพรีเมียร์ลีก 2019/2020

1 ธ.ค. 2563

5 บทสรุปสุดบีบหัวใจ ส่งท้ายพรีเมียร์ลีก 2019/2020
.
ท่ามกลางความตื่นเต้นเร้าใจที่ยังทำให้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังคงเป็นลีกฟุตบอลอาชีพที่มีแฟนบอลติดตามมากที่สุดในโลก ในฤดูกาลที่ผ่านมา (2019/2020)
ยังถือเป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่จะตรึงใจเหล่าสาวก EPL ไปอีกนานแสนนาน เพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เราได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกฟุตบอลมากมาย
รวมถึงสิ้นสุดการรอคอยนานกว่าสามทศวรรษของเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” หลังทัพ “หงส์แดง” ได้ชูโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดสมใจ
ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกลูกหนังปีนี้เลยก็ว่าได้
.
และในวันนี้ Singha World Of Football ขออาสาพาเหล่าคอบอลทุกท่านมาติดตามกับ 5 บทสรุปสุดบีบหัวใจ
ส่งท้ายพรีเมียร์ลีก 2019/2020 ที่เราคัดสรรมาแบบเน้นๆ ถ้าพร้อมแล้ว ลุย !!!
.
#30ปีที่รอคอย #สู่แชมป์อันยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล
.
หากจะบอกว่านี่คือผลตอบแทนจากการทำงานอย่างหนักของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทีมงาน ผู้บริหาร
และนักเตะชุดนี้มาตลอดกว่าสามซีซั่นที่ผ่านมาก็คงจะไม่ผิดไปแต่อย่างใด เพราะทุกๆ ผลงานที่เราได้เห็นนั้น ล้วนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ
ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ทั้งความรู้สึก และสถิติ
.
ในฤดูกาล 2017/2018 นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 14 กระทั่งจบฤดูกาล ลิเวอร์พูล ไม่เคยหลุดออกจากกลุ่ม Top 5 เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หากแต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่เคยขยับขึ้นไปมากกว่าอันดับ 4 เลยแม้แต่ครั้งเดียวเช่นกัน รวมถึงการทำแต้มหล่นไปมากถึง 9 จาก 18 คะแนน
ในช่วงหกนัดสุดท้าย ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ รวมถึงความพ่ายแพ้ต่อ เรอัล มาดริด ที่เคียฟ ไฟน่อล
ได้กลายเป็นการสุมไฟแค้นให้กับเหล่าแข้ง “หงส์แดง” แบบที่ทุกคนไม่ได้คาดคิด
.
ซีซั่นถัดมา เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเสริมทัพด้วยเม็ดเงินกว่า 108 ล้านปอนด์เพื่อควานหา “คนที่ใช่” พร้อมกับการเดินเข้ามาของสองแข้งบราซิเลี่ยน
อย่าง อลีซง เบคเกอร์ และฟาบินโญ่ แน่นอนว่าทั้งสองคือหัวใจสำคัญที่ช่วยทำให้แผนการสร้างทีมสู่ความสำเร็จของ คล็อปป์ นั้นดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เมื่อบวกกับ ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
.
97 คะแนน จาก 38 นัด หากเป็นลีกอื่น เป็นไปได้สูงว่า ลิเวอร์พูล น่าจะไปถึงฝั่งฝันแล้ว หากแต่ประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า
และลูกทีมนั้นยังสูงกว่า บวกกับผลเสมอสี่จากหกเกมในช่วงก่อนเข้าโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ได้ทำให้ ลิเวอร์พูล รั้งอันดับสองของตาราง
ด้วยการมีแต้มตามหลัง แมนฯ ซิตี้ เพียงแค่แต้มเดียวไปอย่างเจ็บปวด แต่ยังดีที่ชัยชนะเหนือ สเปอร์ส ที่ มาดริด พร้อมกับโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส”
ยังพอช่วยปลอบประโลมให้ทุกคนเดินหน้าสู่ความสำเร็จต่อไป
.
กระทั่งในฤดูกาล 2019/2020 ลิเวอร์พูล เริ่มต้นซีซั่นด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ พร้อมกับการรับทฮีโร่ของ อาเดรียน
ก่อนจะเดินหน้าสร้างสถิติสุดโหดด้วยการคว้าชัยชนะในลีกได้ถึง 26 จาก 27 นัดแรก (อีกนัดคือเสมอ), ทำสถิติชนะ 18 นัดติดต่อกัน
เทียบเท่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ปี 2017), รั้งบัลลังก์จ่าฝูงได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่สอง จนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล
กระทั่งการันตีโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี โดยที่ยังเหลือโปรแกรมอีกถึง 7 แมตช์
ปิดฉากซีซั่นนี้ด้วยการมี 99 คะแนน ทิ้งห่างรองแชมป์อย่าง แมนฯ ซิตี้ ถึง 18 คะแนนด้วยกัน
.
เท่านั้นยังไม่พอ ลิเวอร์พูล ยังสร้างสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน (นับเฉพาะพรีเมียร์ลีก) เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน
โดยซีซั่นนี้พวกเขาชนะไปถึง 18 จาก 19 นัดในแอนฟิลด์ เช่นเดียวกับความคงเส้นคงวาในฐานะทีมเยือนที่พวกเขากลายเป็นทีมที่เล่นนอกบ้านได้ดีที่สุดในลีกเช่นกัน
ด้วยการคว้าชัยได้มากถึง 14 เกม และกวาดแต้มไปถึง 44 คะแนน
.
ในส่วนของเกมรุก ลิเวอร์พูล มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในแง่ของการกระจายการทำประตูไปถึง 17 คน แปรเปลี่ยนมาเป็น 85 ประตูในลีก
นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้หวังพึ่งแค่การทำประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ ซาดิโอ มาเน่ แต่เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าคิดต่อเหมือนกันว่า สามประสานในแนวรุกของ “หงส์แดง” ทำประตูรวมในลีกได้น้อยลงกว่าฤดูกาลที่แล้ว (2018/2019) ถึง 10 ประตู
.
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีเกมรุกที่ทำประตูได้น้อยลง หรือเกมรับที่เสียประตูเยอะขึ้นกว่าเดิม 11 ประตู หากแต่ ลิเวอร์พูล
คือทีมที่สามารถรักษาฟอร์มให้คงเส้นคงวาได้มากที่สุด และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่เกมนัดแรกของฤดูกาล
พร้อมกับการเดินหน้ากวาดชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องกระทั้งคว้าแชมป์ก่อนปิดฤดูกาลได้ถึง 7 นัด
คือความยอดเยี่ยมที่พวกเขาควรค่าแก่การสรรเสริญจากแฟนบอลทั้งโลกเป็นอย่างยิ่ง
.
เหนือสิ่งอื่นใด โทรฟี่แชมป์ในวันนี้ เปรียบได้ดั่งรางวัลชีวิตที่หลายๆ คนเฝ้ารอมากว่าสามทศวรรษ และในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็สมหวังกับแชมป์ลีกสูงสุดสักที
.
#เมื่อปีศาจแดงคัมแบ็กสู่แชมเปี้ยนส์ลีก
.
6 ตุลาคม 2019 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตกที่นั่งลำบากหลังพ่ายไปแล้ว 3 จาก 8 เกมแรก พร้อมกับหล่นไปอยู่ในอันดับ 12 ของตาราง
.
วันเวลาผ่านมาอีก 4 เดือน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2020 พวกเขาแพ้คู่แข่งเพิ่มมาอีก 5 นัด (รวมเป็น 8) รั้งอันดับ 7 ของตาราง
โดยมีแต้มตามหลัง เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับสามในลีก ณ ขณะนั้นอยู่ถึง 14 คะแนน มองดูแล้วโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด
จะได้ไปวัดแย่งตั๋วแชมเเปี้ยนส์ ลีก ในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น คงเป็นอะไรที่เพ้อฝันเหนือจินตนาการ
.
แต่ทว่าธรรมชาติของนมุษย์ หากคุณหล่นไปอยู่ล่างปากเหว แล้วพยายามที่จะปีนป่ายขึ้นมา เชื่อว่าคุณยังมีโอกาสรอด หากแต่ถ้าคุณเลือกจะยอมจำนน
ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เท่ากับว่าคุณหมดโอกาสรอดไปโดยปริยาย และ “ปีศาจแดง” ทีมนี้เลือกช้อยส์แรก เพราะขึ้นชื่อว่า “ยูไนเต็ด”
คำว่ายอมแพ้ไม่เคยมีอยู่ในสารบบของพวกเขา และใครจะเชื่อว่าในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล พวกเขาจะได้วัดกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมสุดท้ายจริง
แถมเป็นเงื่อนไขที่พวกเขาได้เปรียบก่อนลงสนาม ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะหักด่านบุกไปคว่ำเจ้าถิ่นได้ 0-2 ผงาดคว้าอันดับสามไปชนิดช็อคแฟนบอลเหมือนกัน
.
และจุดเปลี่ยนที่หลายๆ คนต่างตกลงปลงใจเชื่อว่า นี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมนี้ให้ดีขึ้นทันตาเห็น
นั่นก็คือชายที่ชื่อว่า บรูโน่ แฟร์นันเดส เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติโปรตุเกส
.
นับตั้งแต่ที่จอมทัพแดนฝอยทองรายนี้ตบเท้าเข้ามาอยู่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันที่ 31 มกราคม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นอีกทีมชนิดพลิกฝ่าโลก
หลังคว้าชัยในลีกได้ถึง 9 จาก 14 เกมสุดท้าย พร้อมกับรักษาสถิติไร้พ่าย อีกทั้ง บรูโน่ ยังกดไปอีก 8 ประตูด้วยกัน
หากจะบอกว่าเขาคือจุดเปลี่ยนที่ดีที่สุดของ ยูไนเต็ด ในซีซั่นนี้ก็คงจะไม่ผิดไปแต่อย่างใด

แน่นอนว่าการกลับคืนสู่เวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก น่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ แมนฯ ยูไนเต็ด วาดฝันเอาไว้ว่า เม็ดเงินจากการการันตีพื้นที่ในถ้วยใบใหญ่ของยุโรป
บวกกับศักดิ์ศรีการเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดของอังกฤษ จะช่วยจุดประกายให้ “ปีศาจแดง” ทีมนี้
ก้าวมาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์ของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นหน้าอย่างเต็มตัว ภายใต้การนำของ บรูโน่ แฟร์นันเดส
.
#เลสเตอร์ตกม้าตายโค้งสุดท้าย #ฝันร้ายที่ยังไม่จบของอาร์เซน่อล
.
ใครจะอยากเชื่อว่า จากทีมที่มีแต้มตามหลังรองจ่าฝูงเพียงแค่ 2 คะแนน และทิ้งห่างอันดับ 5 อย่าง สเปอร์ส ถึง 12 คะแนน
สุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ จะมาตกม้าตายพลาดตั๋วลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างเหลือเชื่อ ด้วยน้ำมือของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยมีแต้มตามหลัง “เดอะ ฟ็อกซ์” กว่า 14 แต้ม
.
นอกเหนือจากขนาดทีมที่หลายๆ คนมองว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ยังเป็นรองหลายๆ ทีม จุดที่เป็นปัญหาที่แท้จริงของพวกเขาในซีซั่นนี้
ก็คือ “ความคงเส้นคงวา” ที่ เลสเตอร์ มาพลาดท่าดีแตกในช่วง 9 นัดสุดท้ายของฤดูกาลจนทำให้ฝันที่พวกเขาเคยวาดฝันไว้ต้องกลับมาพังทลายไปแบบชอกช้ำ
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นับตั้งแต่ที่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลับมาฟาดแข้งกันต่อในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เลสเตอร์ ซิตี้ พลาดท่าพ่ายคู่แข่งไปมากถึง 4 นัด
เสมออีก 3 จาก 9 นัด พร้อมกับโดนเจาะตาข่ายกว่า 13 ประตู ซึ่งหากเทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยพาทัพ “เดอะ ฟ็อกซ์”
ยึดตำแหน่งรองจ่าฝูงได้มากถึง 10 สัปดาห์ และไม่เคยหลุดจาก Top 5 ของตารางเลยนับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 กระทั่งตกม้าตายในแมตช์เดย์สุดท้ายของฤดูกาล
นี่คือความน่าเสียดายที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เองคงต้องนำไปเรียนรู้ เพื่อกลับมาต่อกรกับบรรดาบิ๊กทีมในพรีเมียร์ลีก และไม่พลาดแบบนี้อีก

เช่นเดียวกับ อาร์เซน่อล ที่ปิดฉากฤดูกาลนี้ด้วยผลงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1994/1995 (อันดับ 12) แถมยังเก็บแต้มได้น้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่พรีเมียร์ลีก
ปรับลดจำนวนทีมเหลือ 20 ทีม (38 นัด 56 คะแนน) เรียกได้ว่านี่คือฝันร้ายของเหล่าสาวก “กูนเนอร์ส” อย่างแท้จริง
.
แม้พวกเขาจะมีรังเหย้าที่ใหญ่ โอ่โถง และเปี่ยมไปด้วยความทันสมัยมากมายอย่าง เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม แต่เหลือเชื่อว่า อาร์เซน่อล
กลับเสียประตูในบ้านมากถึง 24 ประตู คิดเป็น 50% ของประตูที่พวกเขาเสียในลีก ขณะที่เกมนอกบ้านของทัพ “ปืนใหญ่” นั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
หลังแพ้ไปถึง 7 นัด เสมอ 8 และชนะเพียงแค่ 4 เกมเท่านั้น พร้อมกับสร้างสถิติยิงประตูในฐานะทีมเยือนไว้ที่เกมละ 1 ประตูเท่านั้น
ปิดประตูการไปลุยเวทียุโรปโดยปริยาย ถือเป็นความล้มเหลวที่ มิเกล อาร์เตต้า และอาร์เซน่อล จะต้องรีบลุกขึ้นมา เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้โดยเร็วที่สุด
เพราะอย่าลืมว่า นับตั้งแต่ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก พวกเขาเคยไปถึงจุดสูงสุดด้วยการคว้าแชมป์ถึงสามสมัยด้วยกัน
และผลงานอันดับ 8 ของตารางนั้นย่อมหาใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ใจของทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล เป็นแน่
.
#ดราม่าท้ายตารางที่ยืดมาถึงนัดสุดท้าย
.
เป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ พรีเมียร์ลีก มีเรื่องชวนน่าติดตามมากกว่าเหตุการณ์บนหัวตาราง เพราะพื้นที่ในโซนสีแดงนั้นช่างบีบหัวใจแฟนบอลเหลือเกิน
โดยเฉพาะรักสามเส้าของ บอร์นมัธ, แอสตัน วิลล่า และวัตฟอร์ด ที่จะมีเพียงแค่ทีมเดียวที่รอดตกชั้น
.
แม้ว่า บอร์นมัธ จะบุกไปทุบ เอฟเวอร์ตัน ได้ถึง กูดิสัน ปาร์ค ด้วยสกอร์ 3-1 อีกทั้งสกอร์ที่ เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม นั้น
จะเป็นใจพวกเขาพอสมควร (อาร์เซน่อล vs วัตฟอร์ด) หากแต่ไม่มีปาฏิหาริย์ที่ ลอนดอน แต่อย่างใด เพราะ แอสตัน วิลล่า
สามารถเอาตัวเองรอดจากเงื้อมมือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้อย่างหวุดหวิด ชนิดที่ต้องลุ้นกันจนถึงเสียงนกหวีดสุดท้าย
หลังมีสองประตูสำคัญในช่วงห้านาทีสุดท้ายของเกม จนทำให้โมเมนตั้มของการหาทีมตกชั้นนั้นสวิงไปมา และสุดท้ายก็เป็นทัพ “สิงห์ผยอง”
ที่เป็นทีมสมหวังแต่เพียงผู้เดียว พร้อมกับถีบ บอร์นมัธ กับ วัตฟอร์ด ร่วงหล่นไปในเวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ตาม นอริช ที่จอมสัมปทานไปแล้วก่อนหน้านี้
.
แน่นอนว่าการตกชั้นของ บอร์นมัธ ในฤดูกาลนี้ กลายเป็นประเด็นเดือดขึ้นมาทันที เพราะก่อนหน้านี้ “เดอะ เชอร์รีส์”
มีส่วนได้ส่วนเสียจากความผิดพลาดของเทคโนโลยีโกลไลน์ ที่มี “ฮอว์ก-อาย อินโนเวชั่นส์” เป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นจังหวะที่ โอลิเวอร์ นอร์วู้ด มิดฟิลด์ของ เชสฟิลด์ ยูไนเต็ด เปิดฟรีคิกเข้าไปหน้าประตู บอลลอยข้ามหัว ออร์ยาน นีลันด์
ผู้รักษาประตูแอสตัน วิลล่า ซึ่งรับบอลที่ข้ามเส้นประตูเข้าไปแล้ว แต่สัญญาณโกลไลน์ที่นาฬิกาข้อมือของผู้ตัดสินกลับไม่ส่งสัญญาณว่าบอลนั้นข้ามเส้นประตูไปแล้ว
ทั้งๆ ที่เมื่อย้อนกลับมาดูภาพรีเพลย์ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบอลนั้นลอยข้ามเส้นไปแล้ว
.
และการที่เกมนัดดังกล่าวจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ทำให้เมื่อจบฤดูกาล กลับเป็นฝั่งของ แอสตัน วิลล่า เป็นฝ่ายรอดตกชั้นจากการมีคะแนนมากกว่า บอร์นมัธ
เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น จึงทำให้ทาง บอร์นมัธ เชื่อว่าความผิดพลาดของ ฮอว์ก-อาย มีส่วนทำให้พวกเขาต้องหล่นลงไปเล่นในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
จนมีข่าวล่าสุดออกมาว่า บอร์ดบริหารของ บอร์นมัธ วางแผนเตรียมหารือกันเรื่องการดำเนินการทางกฎหมายกับ “ฮอว์ก-อาย อินโนเวชั่นส์”
.
#โควิด19 #ภัยร้ายที่เกือบทำลายพรีเมียร์ลีก
.
นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2020 เป็นระยะเวลากว่า 102 วันที่ พรีเมียร์ลีก
ต้องเว้นว่างไปด้วยพิษภัยของไวรัสโควิด-19 ที่เล่นงานผู้คนในทุกวงการสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่ “ฟุตบอล”
.
ด้วยสถานการณ์ในเกาะอังกฤษ ที่ไม่ค่อยสู้ดีในช่วงเดือนมีนาคม บวกกับจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
จนทำให้ พรีเมียร์ลีก ต้องตัดสินใจเลื่อนการแข่งขันออกออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนทำให้หลายๆ คนต่างมองว่า
โอกาสที่เราจะได้เห็นฟุตบอลอังกฤษกลับมาลงฟาดแข้งกันอีกภายในปีนี้คงริบหรี่เต็มทน กระทั่งรัฐบาลอังกฤษ และพรีเมียร์ลีก ออกมาแถลงว่า
ฟุตบอลอังกฤษจะกลับมาลงแข่งขันกันต่อในเดือนมิถุนายน พร้อมกับ “เงื่อนไข” ที่คอบอลอย่างเราไม่เคยได้เห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันแบบไร้ผู้ชมในสนาม
มาตรการการคัดกรองทางการแพทย์ที่อนุญาตให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่ในสนาม, การแบ่งคู่ถ่ายทอดสด
และการจัดตารางแข่งขันที่อัดแน่นภายในระยะเวลาราวๆ สองเดือน รวมถึงเงื่อนไขทางสัญญาระหว่างนักเตะ และสโมสร
ที่อนุญาตให้มีการขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษจนถึงแมตช์สุดท้ายของฤดูกาล และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีทีมได้แชมป์,
มีทีมตกชั้น และมีทีมที่ได้โควต้าไปเตะถ้วยยุโรป
.
แม้อังกฤษ จะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์โควิด-19 มากแค่ไหน หากแต่การบริหารจัดการที่ดี และความกล้าที่จะตัดสินใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด รวดเร็วที่สุด
สุดท้ายฟุตบอลอังกฤษซีซั่นนี้ก็สามารถผ่านพ้นทุกๆ ปัญหาไปได้ด้วยดี เราจึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า พรีเมียร์ลีก ยังคงเป็นลีกฟุตบอลที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์
และสะท้อนถึงตัวตน ความคิด และความกล้าหาญของคนอังกฤษ จนทำให้พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกไปโดยปริยาย
.
จากนี้ไป เหลืออีกเพียงไม่ถึง 50 วัน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/2021 ก็จะได้ฤกษ์เปิดฉากอีกครั้ง นับเป็นการปิดซีซั่นที่อาจจะให้ความรู้สึกว่าสั้น
และกระชับที่สุดเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป แต่ละทีมต่างคงต้องทำงานนอกสนามกันอย่างหนัก เพื่อวางแผนเตรียมทีมให้แข็งแกร่งที่สุด
ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่มีให้แต่ละทีมไม่มาก แต่เชื่อได้เลยว่า พรีเมียร์ลีก ซีซั่นใหม่นี้ จะยังคงเอกลักษณ์ฟุตบอลอังกฤษที่เย้ายวนชวนให้ติดตามตั้งแต่นาทีแรก
ยันเสียงนกหวีดสุดท้ายเช่นเคย พร้อมกับนักเตะระดับโลก และกุนซือระดับเวิลด์คลาสมากมาย

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #Premierleague

 

 

BACK