“Last train to Lisbon”
ศึกชิงตั๋ว 4 ใบสุดท้าย สู่รอบควอเตอร์ไฟน่อล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
.
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เราได้ทราบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ยักษ์ใหญ่อย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (ฝรั่งเศส)
รวมถึง แอตเลติโก มาดริด (สเปน) นั้นต่างการันตีพื้นที่ของตนเองในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรป
อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกัน อตาลันต้า (อิตาลี) และอาร์เบ ไลป์ซิก (เยอรมัน) ที่หวังสร้างเซอร์ไพรส์ให้สนั่นโลกอยู่ลึกๆ เหมือนกัน
หลังสามารถหักด่านคว่ำ บาเลนเซีย และท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ มาได้ชนิดหักปากกาเซียนทั้งโลก
.
แน่นอนว่ายังมีตั๋วอีกสี่ใบสุดท้ายเพื่อเข้าไปเติมเต็มคำว่า “ควอเตอร์ไฟน่อล” ให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งเหล่าบรรดาตัวเต็งอีกหลายๆ ทีม
อาทิ เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บาเยิร์น มิวนิค หรือแม้กระทั่ง เชลซี ก็เตรียมลงฟาดแข้งในช่วงสุดสัปดาห์นี้กันอย่างคึกคัก
ก่อนที่การแข่งขันตั้งแต่รอบต่อไป (8 ทีมสุดท้าย) จนถึงนัดชิงชนะเลิศนั้นจะมีการปรับรูปแบบมาเป็น “มินิ ทัวร์นาเม้นต์” ด้วยการลงเล่นตัดสินหาผลแพ้-ชนะ ในนัดเดียว
.
โดยทุกเกมจะลงทำการแข่งขันกันในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส แบบไม่มีแฟนบอลเข้าชมในสนาม โดยทาง ยูฟ่า ได้ตัดสินใจใช้สนามหลักสองแห่ง
คือ เอสตาดิโอ ดาลุซ รังเหย้าของ เบนฟิก้า ที่จะเป็นสังเวียนแข้งในยูซีแอล ไฟน่อล ส่วนอีกหนึ่งสนามนั้นได้แก่ เอสตาดิโอ โชเซ่ อัลวาลาด ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
.
วันนี้ Singha World Of Football จะพาคอบอลทุกท่านมาติดตามบทวิเคราะห์การแข่งขันในรอบควอเตอร์ไฟน่อลอีก 4 นัด
เพื่อหาสี่ตัวแทนเข้าไปล่าโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส” มาดูกันว่า ทีมใดที่มีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้า และทีมใดที่ไม่มีทางเลือก
นอกจากต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์ในสุดสัปดาห์นี้สถานเดียว หากยังหวังที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป !!!
.
#แมนเชสเตอร์ซิตี้ vs #เรอัลมาดริด
หรือ “ราชันชุดขาว” จะร่วงตกรอบ 16 ทีมเป็นหนที่สามในรอบ 10 ปี !!!
.
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เรอัล มาดริด ไม่สามารถพาตัวเองทะลุไปถึงรอบควอเตอร์ไฟน่อลได้เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น
(2009/2010 : โอลิมปิก ลียง และ 2018/2019 : อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม) อีกทั้งผงาดคว้าแชมป์ได้ถึง 4 จาก 6 ฤดูกาลล่าสุด
(แชมป์รายการนี้ทั้งหมด 13 ครั้ง มากที่สุดตลอดกาล) สถิติเหล่านี้น่าจะเป็นเครื่องหมายการันตีได้ว่า พวกเขานี่แหละที่คู่ควรกับคำว่า “ราชันแห่งยุโรป” มากที่สุด
.
แต่การเปิดบ้านพ่ายต่อยักษ์ใหญ่แห่งบริเทนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายได้ประตูออกนำไปก่อน คือความเสียหายระดับพันล้านที่บอกได้คำเดียวว่า
อาจจะทำให้ เรอัล มาดริด ต้องยุติเส้นทางของตัวเองไว้ที่เพียงรอบนี้ก็เป็นได้ เพราะนอกจากความเสียเปรียบในเรื่องอเวย์โกล์จนบีบให้พวกเขา
ต้องบุกไปอัดทัพ “เรือใบสีฟ้า” ให้ได้อย่างน้อยสองเม็ด พร้อมกับเงื่อนไขห้ามเสียประตู บวกกับการเสีย เซร์คิโอ รามอส จากโทษแบน
จึงเปรียบเสมือนบททดสอบระดับหินที่ ซีเนอดีน ซีดาน และลูกทีมต้องผ่านมันไปให้ได้
.
ในเกมแรกจะเห็นได้ชัดเลยว่า แมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นเป็นฝ่ายที่มีโอกาสได้ลุ้นพังประตูจะแจ้งมากกว่า แต่ถึงอย่างไร เกมรับของพวกเขา
ก็ยังถูกตั้งคำถามจากแฟนบอล และสื่อว่า หากทัพ “เรือใบสีฟ้า” ต้องการก้าวไปเป็นทีมระดับท็อปของยุโรป พวกเขาไม่ควรปล่อยให้ อิสโก้
ได้หลุดเข้าไปซัดบอลผ่าน เอแอร์สัน ในจังหวะเสียประตูแบบง่ายๆ นั่นคือจุดอ่อนที่กุนซือชาวสแปนิชเองก็รู้ดีว่า หากสามารถยกระดับเกมรับได้เมื่อไหร่
แมนฯ ซิตี้ จะน่ากลัวขึ้นเป็นเท่าตัว
.
เกมนี้ เจ้าถิ่นจะไม่มี เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยังต้องพักรักษาอาการเจ็บเข่า รวมถึง เบนฌาแม็ง เมนดี้ ที่ติดโทษแบน แต่ทว่าคีย์แมนรายอื่นๆ
ยังอยู่กันอย่างครบครันทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, กาเบรียล เชซุส ที่พังประตูได้ในเกมนัดแรก รวมถึง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่พร้อมดวลกับแนวรับมาดริดแบบไม่เกรงในศักดิ์ศรี
.
ขณะที่ เรอัล มาดริด การขาด เซร์คิโอ รามอส ในเกมสำคัญที่ ซีดาน ยกให้เป็นดั่งเกมนัดชิงนัดแรก คือความเสียหายที่พวกเขาต้องรีบกระตุ้นตัวเองให้กลับมาพร้อมลุย
โดยไม่สนใจว่าทีมจะมีหรือขาดใคร เพราะด้วยเงื่อนไขการต้องบุกไปยิงสองประตู และห้ามโดนยิงคืน ยังไงเชื่อว่าเกมนี้ ซีดาน คงไม่มีทางเลือก
นอกจากต้องใช้จุดเด่นที่สุดของ เรอัล มาดริด นั่นคือ “เกมรุก” คอยเล่นงานเจ้าถิ่นตั้งแต่วินาทีแรก แน่นอนว่าหากประตูแรกของ “ราชันชุดขาว” นั้นมาเร็วเมื่อไหร่
โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาพลิกสถานการณ์ก็จะทวีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อยู่ที่ความเด็ดขาดของทั้งสองทีมแล้วว่า ในเกมที่เต็มไปด้วยความกดดันเช่นนี้
ฝั่งไหนจะสามารถปิดบัญชีได้ดี และเร็วกว่ากัน
.
ทั้งนี้ มีสถิติที่น่าสนใจคือ แมนฯ ซิตี้ มีสถิติที่ค่อนข้างดียามเปิดบ้านพบกับทีมจาก สเปน โดยชนะ 4 เสมอ 3 และแพ้ไป 2 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการ
พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งสองแมตช์ ขณะที่ เรอัล มาดริด แพ้เพียงแค่ 5 นัดจาก 25 เกมนอกบ้านหลังสุดในรายการนี้
.
#ยูเวนตุส vs #โอลิมปิกลียง
จากแชมป์เซเรียอา สู่การเดินหน้าสานต่อโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส” ของทัพ “ม้าลาย”
.
การผงาดคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้เป็นสมัยที่ 9 ติดต่อกัน พร้อมกับรั้งบัลลังก์ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของอิตาลี ทำให้ ยูเวนตุส
ยังคงดูน่าเกรงขามเสมอไม่ว่าจะลงเล่นในรายการไหน แต่ตัวเลขแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัยของพวกเขานั้นอาจจะดูน้อยลงไปถนัดตา
และเราต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1996 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่ทัพ “เบียงโคเนรี่” ประสบความสำเร็จในรายนี้
ยิ่งผลการแข่งขันในเลกแรกที่ดูไม่ค่อยเป็นใจ (บุกไปแพ้ ลียง 1-0) ทำให้สุดสัปดาห์นี้ ยูเวนตุส ไม่มีทางเลือก
นอกจากต้องเดินหน้าฆ่าแหลกสถานเดียว หากยังหวังที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
.
เกมนี้พวกเขายังคงต้องรอลุ้นว่า เปาโล ดีบาล่า จอมทัพอาร์เจนไตน์จะหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงเล่นในเกมนี้ได้ทันรึเปล่า
ส่วนนอกนั้นเรียกได้ว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีขุมกำลังแบบฟูลทีมอยู่ในมือ
.
นอกจากนี้ยังมีสถิติบางอย่างที่น่าจะทำให้สาวก “ม้าลาย” ใจชื้นขึ้นมา เพราะ ยูเวนตุส ไม่เคยเปิดบ้านแพ้ทีมจากฝรั่งเศสในรายการนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
(ชนะ 11 จาก 14 นัด) นั่นหมายความว่าหากสถิติดังกล่าวยังคงทำงาน ยูเวนตุส ก็มีโอกาสที่จะเปิดรังคว่ำ ลียง ได้เช่นกัน
.
ส่วนอาคันตุกะจากแดนน้ำหอมเอง แม้จะไม่ค่อยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นเท่าที่ควร อีกทั้งสื่อในฝรั่งเศสต่างคาดการว่า
เมมฟิส เดอ ปาย เองจะได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงอย่างแน่นอน หากแต่ความเสียเปรียบทั้งๆ ทีพวกเขามี 1 ประตูตุนอยู่ในมือ
ก็คือ พวกเขาได้ลงเล่นในแมตช์อย่างเป็นทางการเพียงแค่นัดเดียว ตลอดระยะเวลาสามเดือนนับตั้งแต่ที่ฟุตบอลลีกของฝรั่งเศสถูกตัดจบก่อนใคร
อีกทั้งสถิติการบุกมาเล่นในแดนมักกะโรนีของพวกเขานั้นก็อยู่ในขั้นวิกฤต หลังไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยตลอด 5 แมตช์ อีกทั้งยังเป็นความพ่ายแพ้ถึงสี่เกม
ต้องมาดูว่า โอลิมปิก ลียง จะอาศัยความได้เปรียบจากชัยชนะในเกมแรกมาเล่นเกมโต้กลับใน ตูริน เพื่อรอจังหวะเล่นงานแนวรับยูเวนตุสที่หลายๆ คน
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าย่ำแย่ หลังโดนสอยตาข่ายไปมากกว่า 43 ประตูในลีก ตลอดจนฟอร์มในช่วงโค้งสุดท้ายที่พ่ายไปถึงสามจากสี่เกม
จนเกิดเป็นคำถามว่า นี่อาจจะเป็นการคว้าแชมป์ลีกที่ไม่น่าประทับใจที่สุดในรอบทศวรรษของพวกเขาเอง และเกมในนัดนี้แหละที่จะเป็นโอกาส
ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ในการเรียกศรัทธาเหล่าสาวก “เบียงโคเนรี่” ให้กลับคืนมาอีกครั้ง
.
#บาร์เซโลน่า vs #นาโปลี
“90 นาทีที่เต็มไปด้วยแรงจูงใจของทั้ง บาร์ซ่า-อัซซูร่า”
.
ผลเสมอใน สตาดิโอ ซาน เปาโล พร้อมกับประตูของ อองตวน กรีซมันน์ ทำให้ บาร์เซโลน่า ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ นาโปลี อยู่พอสมควร
หากมองในแง่ของการเล่นเพื่อเสมอแบบไร้สกอร์ได้ (แต่ไม่แนะนำ) รวมถึงการกลับมาเล่นในอ่างชามยักษ์อย่างคัมป์ นู ที่ถึงแม้จะไม่มีแฟนบอล
หากแต่มนต์ขลังของเมกกะลูกหนังแห่งนี้ยังคงสร้างความหวดกลัวใหักับคู่แข่งที่มาเยือนได้เสมอ
.
ปัญหาในเกมนี้ของเจ้าถิ่นก็คือ การขาดตัวหลักอย่างน้อยสองคนจากปัญหาติดโทษแบนทั้ง เซร์คิโอ บุสเกตต์ และอาตูโร่ วิดัล ส่วน อุสมาน เดมเบเล่
และซามูเอล อุมติตี้ อดีตปราการหลังลูกหม้อของ ลียง เองก็ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน บวกกับเงื่อนไขสามคีย์แมนอย่าง เมสซี่, กรีซมันน์ และเซเมโด้
ที่จะหมดสิทธิ์ลงเล่นในรอบต่อไปทันที (กรณีที่ผ่านเข้ารอบ) หากโดนใบเหลืองในนัดนี้ อาจจะเป็นโจทย์ที่บางทีอาจจะย้อนกลับมาเล่นงาน บาร์ซ่า เองก็เป็นได้
ฉะนั้น สิ่งเดียวที่ กิเก้ เซเตียน ต้องท่องให้ขึ้นใจก็คือ พวกเขาต้องเอาชนะ ลียง ในเกมนี้ และไปถึงตำแหน่งแชมป์ให้ได้ เพื่อลบความผิดหวังจาก ลา ลีก้า ให้ได้
.
สถิติการเปิดบ้านไม่แพ้ทีมจากอิตาลี 15 นัดหลังสุด และเป็นชัยชนะถึง 12 เกม คือสิ่งที่ช่วยเปิดประตูสู่รอบต่อไปของเหล่า “อาซูลกราน่า” ให้กว้างยิ่งขึ้น
หากพวกเขาสามารถเล่นในแบบมาตรฐานของตัวเอง
.
ขณะที่ นาโปลี ที่ปิดฉากซีซั่นนี้ด้วยการคว้าอันดับที่ 7 ในลีก แน่นอนว่านี่คือฤดูกาลอันน่าผิดหวังของพวกเขา เพราะด้วยมาตรฐานของพวกเขาก่อนหน้านี้
ที่ต้องเบียดลุ้นแชมป์มาโดยตลอด ทำให้เกมนี้ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ต่างต้องเนนเต็มที่ เพราะด้วยผลการแข่งขันในเลกแรกที่เปิดกว้าง มองดูแล้ว นาโปลี เอง
ก็หวังบุกมาอัด บาร์เซโลน่า ถึงถิ่นเช่นกัน
.
มีแค่ คอสตาส มาโนลาส คนเดียวเท่านั้นที่ยังมีอาการบาดเจ็บ และไม่น่าจะหายทันแมตช์นี้ นอกนั้นเรียกได้ว่าเป็นชุดที่ดีที่สุดของเหล่า “อัซซูร่า” เลยก็ว่าได้
โดยเฉพาะสามประสานในแดนหน้าทั้ง อินซิเญ่, เมอร์เท่นส์ รวมถึง กาเญฆ่อน ที่พร้อมจะลงโทษเจ้าถิ่นอยู่ตลอดเวลา หากแต่ปัญหาเรื่องการเล่นนอกบ้าน
ของ นาโปลี ยังเป็นการบ้านที่ กัตตูโซ่ จำเป็นจะต้องลบสถิติอันเลวร้ายในการเดินทางมาแข่งขันใน สเปน โดยเฉพาะสามเกมหลังสุดที่จบลงด้วยคำว่า “พ่ายแพ้” ทั้งหมด
.
ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ “ประตูแรก” จะมีผลต่อทิศทางรูปเกมที่เหลือทันที ไม่ว่าประตูนั้นจะเป็นของ บาร์เซโลน่า หรือ นาโปลี ก็ตาม เพราะในกรณีที่เสมอแบบไร้สกอร์
จะเป็น บาร์เซโลน่า ที่ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทันที หากแต่ถ้าจบลงด้วยสกอร์เท่าเลกแรก ก็จะมีการต่อเวลาพิเศษออกไป แต่ถ้าในกรณีที่เป็นผลเสมอที่มากกว่านั้น นาโปลี
จะเป็นฝ่ายสมหวังทันทีตามกฎอเวย์โกล์ และสถานการณ์ที่ชี้วัดง่ายที่สุด หากมีผลแพ้ชนะในเกมนัดนี้ ทีมชนะจะเป็นฝ่ายกรุยทางสู่รอบควอเตอร์ไฟน่อลทันที
และนี่คือสิ่งที่ยังคงทำให้ นาโปลี มีแรงจูงใจในอีก 90 นาทีที่เหลือ !!!
.
#บาเยิร์นมิวนิค vs #เชลซี
“ปาฏิหาริย์ท่านั้นที่จะทำให้ สิงห์บลู กลับมา”
.
ความพ่ายแพ้คาถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถึง 0-3 คือผลการแข่งขันที่เรียกได้ว่าสร้างความชอกช้ำให้กับ แฟรงค์ แลมพาร์ด และลูกทีมเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากพูดกันตรงๆ โอกาสที่ เชลซี จะบุกไปถล่มแชมป์บุนดสลีกาอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึงสังเวียน อลิอันซ์ อารีน่า อย่างน้อย
สามประตูเพื่อต่อเวลาพิเศษนั้นคงเป็นอะไรที่บางทีต้องหวังพึ่ง “ปาฏิหาริย์” เท่านั้น
.
โอเค จริงอยู่ที่ ลิเวอร์พูล เคยทำให้คนทั้งโลกช็อกกับผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่พวกเขาพลิกกลับมาถลุง บาร์เซโลน่า ยับ 4-0 ที่แอนฟิลด์
ก่อนกรุยทางไปสู่บังลังก์แชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ หากแต่นั่นคือการอาศัยความได้เปรียบในฐานะเจ้าบ้านนัดที่สอง หากแต่สถานการณ์ของ เชลซี ในเกมนี้นั้นต่างออกไป
ฉะนั้น สิ่งที่ แลมพาร์ด จำเป็นจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าสายตานับล้านคู่ในสุดสัปดาห์นี้ก็คือ พวกเขาต้องเดินลงไปเล่นด้วยทัศนคติแบบเซตซีโร่
คือไม่ต้องสนใจว่าจะตามหลัง “เสือใต้” อยู่เท่าไหร่ หากแต่ เชลซี ต้องแสดงให้เห็นถึงความกระหายที่อยากจะเอาชนะ แม้ว่าสกอร์นั้นอาจจะพอ
หรือไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ เพราะนี่คือวิถีของคำว่า “มืออาชีพ” และการเป็นทีมระดับโลก
.
ปัญหาใหญ่ของทัพ “สิงห์บลู” ในเกมนี้ก็คือ พวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บมากมาย ไล่มาตั้งแต่ คริสเตียน พูลิซิช, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า
และเปโดร ขณะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อย ส่วน มาร์กอส อลอนโซ่ และจอร์จินโญ่ ติดโทษแบน เรียกได้กว่าตัวหลัก
ของ เชลซี กว่าครึ่งทีม หายไปในเกมนัดนี้
.
ขณะที่เจ้าถิ่น บาเยิร์น มิวนิค แน่นอนว่าแชมป์หนล่าสุดในปี 2013 อาจจะดูนานไปหากเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพวกเขาที่เคยเป็นแชมป์รายการนี้ถึง 5 สมัย
และในเกมนี้ ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค เองก็มีโอกาสที่ดีที่จะพา “เสือใต้” ชุดนี้คั่วทริปเปิ้ล แชมป์ หลังจากก่อนหน้านี้กวาดมาทั้ง บุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล
.
เกมนี้ ฟลิค ไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะมารบกวนใจ และเตรียมจัดเต็มทั้ง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่กำลังนำเป็นดาวซัลโวในรายการนี้ (11 ประตู),
แซร์จ กนาบรี ที่เหมาคนเดียวสองประตูในสี่นาทีที่ ลอนดอน คอยเล่นงาน เชลซี อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่แม้จะตกเป็นข่าวรายวันกับ ลิเวอร์พูล
แต่เกมนี้เขาจะยังคงรับบทตัวคุมเกมในแดนกลางเช่นเคย
.
ย้ำอีกครั้งว่า เงื่อนไขเดียวที่จะทำให้ เชลซี ผ่านเช้าสู่รอบต่อไปภายใน 90 นาทีก็คือ บุกไปถล่ม บาเบิร์น มิวนิค ด้วยสกอร์ 0-4 เราต้องมาลุ้นกันว่า
สุดท้ายแล้วคำว่า “ปาฏิหาริย์” และเทพีแห่งโชคชะตา จะยังคงอยู่เคียงค้างทีมจากอังกฤษ เหมือนที่ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นในฤดูกาลที่ผ่านมาว่า
“ตราบใดที่คุณยังมีลมหายใจ ทุกวินาทีต่อจากนั้นคือ โอกาส” และชัยชนะจะตกเป็นของผู้ที่อุทิศตนให้กับมันเท่านั้น !!!
.
แล้วเราจะได้รู้กันว่า สุดท้ายแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้ที่คว้าตั๋ว 4 ใบสุดท้าย เพื่อกรุยทางผ่านเข้าสู่รอบควอเตอร์ไฟน่อล ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
พร้อมกับเงื่อนไขที่แตกต่างจากทุกฤดูกาลที่ผ่านมาคือ เตะนัดเดียวไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ !!!
.
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball