BACK

 

 

"Who will win the 2020 UCL Final ?"

28 ธ.ค. 2563

"Who will win the 2020 UCL Final ?"

ผ่าบทวิเคราะห์คู่ชิงในฝัน "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020"

.

เหลืออีกเพียงแค่อึดใจเดียว เราก็จะได้รู้แล้วว่าใครกันที่คู่ควรกับการยืนตระหง่านบนบัลลังก์แชมป์ พร้อมกับสถานะอันยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังโลก
นั่นคือ “จ้าวยุโรป” ท่ามกลางการช่วงชิงของสองสโมสรระดับแถวหน้าของโลกทั้ง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทริปเปิ้ล แชมป์จากแดนน้ำหอม
ที่พร้อมเต็มที่กับการสถาปนาตัวเองเป็นสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคด้วยแชมป์ UCL สมัยแรก กับ บาเยิร์น มิวนิค อดีตแชมป์ยุโรป 5 สมัย
และดับเบิ้ลแชมป์ทีมล่าสุดจากเมืองเบียร์ ที่กำลังอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม หลังทำลายความยิ่งใหญ่ของ บาร์เซโลน่า
และลิโอเนล เมสซี่ ลงอย่างราบคาบ ด้วยประสิทธิภาพตามแบบฉบับ “เมด อิน เยอรมนี”

.

เพราะทุกคนต่างทราบดีว่า โทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส” ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือฟุตบอลถ้วยในระดับสโมสรที่มีมาตรฐานสูงที่สุดในโลก
จนเคยมีคำกล่าวจากกูรูลูกหนังทั่วโลกว่ามีมาตรฐานที่สูงกว่า “ฟุตบอลโลก” ด้วยซ้ำ

.

บวกกับการโคจรมาพบกันของสองทีมยักษ์ใหญ่ที่มีนักเตะดีกรีระดับ “เวิลด์คลาส” ล้นทีมอย่าง “เปแอสเช” และทัพ “เสือใต้”
ว่ากันว่านี่คือ “คู่ชิงในฝัน” ที่อาจจะดูสูสี และน่าตื่นตาตื่นในที่สุดในรอบทศวรรษของรายการนี้เลยด้วยซ้ำ

.

วันนี้ Singha World Of Football พร้อมแล้วที่จะพาแฟนบอลทุกท่านมาติดตามกับ ผ่าบทวิเคราะห์คู่ชิงในฝัน "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020"
เรามาดูกันว่าทั้งสองทีมนั้นพร้อมแค่ไหนกับการลงเล่นในเกมสุดสำคัญที่มี “โทรฟี่แชมป์” เป็นเดิมพัน และใครมีโอกาสมากกว่ากัน
ในวันที่จะมีผู้สมหวังเพียงแค่หนึ่งเดียวในสังเวียน เอสตาดิโอ ดา ลุซ เมกะลูกหนังแห่งกรุงลิสบอน

.

#ปารีสแซงต์แชร์กแมง “แชมป์ยุโรปเท่านั้นที่จะทำให้แฟนบอลทั้งโลกยอมรับ”

.

นับตั้งแต่การก้าวเข้ามาของ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ และกลุ่มทุน Qatar Sports Invesments ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก็พลิกโฉมขึ้นมาเป็นทีมระดับโลกได้ในพริบตา

.

แชมป์ลีกเอิง 7 สมัยจาก 8 ฤดูกาลหลังสุด หรือแม้แต่การคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยในประเทศ (ลีกเอิง, เฟร้นช์ คัพ และเฟร้นช์ ลีก คัพ) ได้ถึง 4 ครั้ง
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2014/2015 น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า อัล เคไลฟี่ นั้นเอาจริงกับการลงทุนให้ เปแอสเช นั้นเต็มไปด้วยดีเอ็นเอของคำว่า “แชมเปี้ยนส์”

.

แต่ “แชมเปี้ยนส์” เดียวที่ อัล เคไลฟี่ และเปแอสเช ไม่เคยสัมผัสได้สักทีนั่นคือโทรฟี่ “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” ทั้งๆ ที่ถึงตอนนี้ กลุ่มทุนจากกาตาร์
ได้ทุ่มเม็ดเงินไปไม่น้อยกว่า หนึ่งพันล้านยูโร ในการไล่กวาดต้อนสตาร์ระดับโลกมาประดับบารมี เสริมความแข็งแกร่งให้กับ เลส์ ปารีเซียงส์ อย่างไม่ขาดสาย
ไล่มาตั้งแต่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ติอาโก้ ซิลวา จนมาถึงรุ่นของ เอดินสัน คาวานี่, อังเคล ดิ มาเรีย, คีเลียน เอ็มบัปเป้, เมาโร อิคาร์ดี้ และเนย์มาร์
แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังไม่ถึงฝั่งฝันสักที

.

การลงสนามพบกับ บาเยิร์น มิวนิค จึงเต็มไปด้วยความหมายของคำว่า “แชมเปี้ยนส์” ที่พวกเขาฝันใฝ่ และนี่คือโอกาสเดียว
ที่จะทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับจากแฟนบอลทั้งโลกว่าเป็นสโมสรฟุตบอลที่ “ยิ่งใหญ่” แห่งยุคจริงๆ
หาใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ด้วยเม็ดเงินแค่ในแผ่นดินฝรั่งเศสแบบที่ตกเป็นข้อครหาจากแฟนบอลทั่วโลกอยู่

.

ความน่าสนใจก่อนลงสนามนัดชิงชนะเลิศคือ “เปแอสเช” ภายใต้การนำของ โธมัส ทูเคิ่ล สามารถกวาดโทรฟี่แชมป์ทุกรายการในแดนน้ำหอมมาครองได้อย่างเสร็จสรรพ
ทั้งแชมป์ลีกเอิง ฝรั่งเศส, เฟร้นช์ คัพ และเฟร้นช์ ลีก คัพ นั่นเท่ากับว่า หาก ทูเคิ่ล สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในซีซั่นได้
เจ้าตัวก็แทบจะกลายเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของทีมไปโดยปริยาย เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าบุญทุ่มจากปารีส
ไม่เคยคว้าแชมป์ใบใหญ่ของยุโรปมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งความสำเร็จเดียวในเวทียุโรปนั้นต้องย้อนไปไกลถึงปี 1996
กับแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ในยุคที่ยังไม่ได้รวมกับ ยูฟ่า คัพ มาเป็นรายการ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน

.

นี่จึงกลายเป็นแพสชั่น เป็นพลังแฝงของทั้งเหล่านักเตะ เฮดโค้ช รวมถึงผู้บริหาร ที่ต่างต้องการเป็น “แชมเปี้ยนส์ (ลีก)” หนแรกในประวัติศาตร์
แต่จะเป็นแพสชั่นที่มากพอที่จะต่อกรกับคู่แข่งสุดหินอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ได้หรือไม่นี่คือสิ่งที่เราต้องไปลุ้นกัน

.

แม้จะมีกระแสข่าวหนาหูว่า เนย์มาร์ อาจจะโดนโทษแบนจากกรณีไปแลกเสื้อกับนักเตะของ อาร์เบ ไลป์ซิก หลังจบเกม
ซึ่งขัดกับกฎเรื่องความปลอดภัยด้านสุขภาพช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ ยูฟ่า ได้ย้ำกับทุกสโมสรอย่างหนักแน่น แต่ในเมื่อยังไม่มีการออกมาแถลงข่าว
อย่างเป็นทางการจาก ยูฟ่า ดังนั้น ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังเต็มไปด้วยความอันตรายในเกมรุกอยู่เสมอ

.

ตำแหน่งผู้รักษาประตูยังคงเป็นของนายด่านจากสเปนอย่าง เซร์คิโอ ริโค ที่ยืมตัวมาจาก เซบีญ่า ส่วนแผงหลังคาดว่า ทูเคิ่ล ยังคงยึดสี่ผู้เล่นเซ็ตเดิม
จากเกมที่ถล่ม อาร์เบ ไลป์ซิก ในรอบตัดเชือกมา ทั้ง ธิโล เคห์เรอร์ แนวรับดีกรีทีมชาติเยอรมัน, ฆวน เบร์นาต อดีตแข้ง “เสือใต้”
ที่เคยพาทีมคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกาถึง 4 สมัย, เพรสแนล คิมเพมเบ้ และติอาโก้ ซิลวา ที่หวังสร้างประวัติศาสตร์เป็นกัปตันทีมของแรกของสโมสรที่ได้ชูถ้วยแชมป์รายการนี้.

.

ในส่วนของแผงมิดฟิลด์น่าจะมีการปรับหนึ่งตำแหน่งคือ มาร์โก้ แวร์รัตติ สตาร์จากทัพ “อัซซูรี่” ที่จะกลับมาคืนทัพแทนที่ เลอันโดร ปาเรเดส
ขณะที่ มาร์ควินญอส ที่ทำประตูได้ในเกมล่าสุด ยังคงเป็นแกนหลักเช่นเดียวกับ อันเดร เอร์เรร่า

.

ส่วนสามประสานในแนวรุกแน่นอนว่า เปแอสเช จะได้ใช้งานสามนักเตะที่ดีที่สุดทั้ง อังเคล ดิ มาเรีย ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาของความมั่นใจ
บวกกับพลังของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ทำประตู - แอสซิสต์ให้เพื่อนไปอย่างละ 5 ใน UCL 2020 และถ้าไม่มีอะไรพลิกโผ
เราคงได้เห็น เนย์มาร์ รอดพ้นจากการโดนแบน และลงล่าตาข่ายใน เอสตาดิโอ ดาลุซ อย่างแน่นอน

.

ทั้งนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ลงสนามในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ไปแล้ว 10 แมตช์ด้วยกัน โดยพวกเขาเอาชนะคู่แข่งไปได้ถึง 8 เกม
และแพ้ไปเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรกต่อ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เช่นเดียวกับผลงานในเกมรุกที่ดีที่สุดเป็นอันดับที่สองของรายการ
โดยพวกเขาซัดไปแล้ว 25 ประตูด้วยกัน เป็นรองแค่ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียวเท่านั้น

.

แต่ความน่าสนใจมากกว่าความดุดันในแดนหน้าของ เอแอสเช ก็คือ พวกเขาเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในทัวร์นาเม้นต์ หลังโดนเจาะตาข่ายไปเพียงแค่ 5 ประตูเท่านั้น โดยแบ่งเป็นการโดนยิงในรอบแบ่งกลุ่ม 2 ประตู, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 ประตู และรอบควอเตอร์ไฟน่อล 1 ประตู นั่นเท่ากับว่ายอดทีมจากแดนน้ำหอมมีค่าเฉลี่ยในการเสียประตูเพียงแค่นัดละ 0.5 ประตู ถือเป็นสัญญาณที่ดีก่อนที่จะลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ต้องต่อกรกับทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดเช่นกัน

.

เกมที่ ลิสบอน จึงเป็นหนึ่งในเกมที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 50 ปีของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง รวมถึงวงการลูกหนังฝรั่งเศส
ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงแค่ “Farmer’s League” หรือ ลีกของชาวนาเท่านั้น และโทรฟี่แชมป์เท่านั้นที่จะทำให้ เปแอสเช คู่ควรกับคำว่า
สโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกยุคนี้ทันที ด้วยเม็ดเงิน แชมป์ และคุณภาพของนักเตะ นี่จึงเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่ โธมัส ทูเคิ่ล
กับ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ต้องผ่านด่านหินไปให้ได้สถานเดียว

.

#บาเยิร์นมิวนิค “หรือนี่อาจจะเป็น เสือใต้ ชุดที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ”

.

"พวกเราดีกว่า เรามีผู้เล่นที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ไม่ใช่แค่ 18 คนเท่านั้น แต่มันคือทั้งทีมที่สุดยอดมาก" นี่คือความมั่นใจของกัปตันทีม
และหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ว่ากันว่า “ดีที่สุดในโลก” มาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาอย่าง มานูเอล นอยเออร์

.

โดยเจ้าตัวเชื่อว่า บาเยิร์น มิวนิค ชุดปัจจุบันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งในทุกขุมกำลัง และอาจจะดีกว่าชุดที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในซีซีซั่น 2012/2013 ด้วยซ้ำ
ซึ่ง “เสือใต้” ชุดปัจจุบัน มีนักเตะถึง 4 คนด้วยกันที่เคยประสบความสำเร็จร่วมกันในครั้งนั้น ได้แก่ มานูเอล นอยเออร์, เฌโรม บัวเต็ง, ดาวิด อลาบา
และโธมัส มุลเลอร์ ที่ดุดันราวกับเป็นขิงแก่

.

ผลงานในฤดูกาลนี้ของ บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การนำของ ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค นั้นถือว่ายอดเยี่ยม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับมรสุมตั้งแต่เปิดฤดูกาล
กระทั่งการตัดสินใจยกเลิกสัญญา นิโก้ โควัช และเป็น ฟลิค นี่แหละที่ค่อยๆ หล่อหลอมนักเตะชุดนี้ด้วยใจ และเกมรุกอันบ้าคลั่ง จนในที่สุด
ยอดทีมจากแคว้นบาวาเรีย ก็ผงาดชูถาดแชมป์บุนเดสลีกามาครองได้สมใจ ด้วยจำนวนประตูกว่า 100 ลูก และการเก็บแต้มทิ้งห่างคู่แข่งกว่า 13 คะแนน
รวมถึงการครองแชมป์บอลถ้วยอย่าง เดเอฟเบ โพคาล มาประดับบารมีเป็นสมัยที่ 20 นั่นเท่ากับว่า ถึงตรงนี้ ฟลิค เองมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์
พาทีมคว้าสามแชมป์แบบที่เรียกว่า “Continental Treble” เช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทีมเคยทำได้ในฤดูกาล 2012/2013 กับยุคของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส

.

แต่นั่นยังไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่ากับผลงานในถ้วยยุโรปของพวกเขาในฤดูกาลนี้..

.

การคว้าชัยได้ทั้งหมด 10 นัดในแชมเปี้ยนส์ลีก ไม่มีคำว่าแพ้ และไม่สนใจที่จะสะกดคำว่าเสมอ ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ทำผลงานได้เหนือกว่าใครอย่างแท้จริง
เพราะตัวเลข และสถิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่เคยหลอกใคร

.

สถิติการเป็นทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ที่ 42 ประตู พร้อมกับค่าเฉลี่ยทำประตูนัดละ 4.2 ลูก นี่ยังไม่นับผลงานตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ที่พวกเขากระหน่ำคู่แข่งราวกับปืนกล (4 นัด 18 ประตู) และผลงานชิ้นโบว์แดงในการประกาศให้โลกรู้ว่า หมดยุคของ บาร์เซโลน่า และลิโอเนล เมสซี อย่างเป็นทางการ
ด้วย 8 ประตูที่ซัดใส่ทัพ “อาซูลกราน่า” ในรอบควอเตอร์ไฟน่อล น่าจะเพียงพอต่อการตอกย้ำว่า ณ วินาทีนี้ บาเยิร์น มิวนิค คือเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ทัวร์นาเม้นต์นี้อย่างแท้จริง

.

เกมนัดชิงชนะเลิศที่ ลิสบอน มั่นใจว่า ฟลิค จะยังยึดมั่นแผงเกมรับชุดเดิมทั้งหมดที่เป็นตัวหลักของทีมในซีซั่นนี้มาโดยตลอด นำโดยผู้รักษาประตู
และกัปตันทีมอย่าง มานูเอล นอยเออร์, โจชัว คิมมิช ที่ลงเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก 2019/2020 ครบทุกนัด, ดาวิด อลาบา, เฌโรม บัวเต็ง
และแบ็กซ้ายแห่งยุคจากแคนาดาอย่าง อัลฟองโซ่ เดวิส ที่โดดเด่นสุดๆ

.

ขณะที่มิดฟิลด์คู่กลาง ยังไม่มีเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น เพราะทั้ง ติอาโก้ อัลคันทาร่า และเลออน โกเร็ตซ์ก้า ได้แสดงให้เห็นถึงคลาสบอลที่ขี่แดนกลางคู่แข่งอยู่เสมอ
โดยมี อิวาน เปริซิช ที่เบียดตำแหน่ง คิงส์ลีย์ โกม็อง ได้อย่างเฉียดฉิว ขณะที่อีกฝั่งคงต้องยกให้ แซร์จ กนาบรี้ ที่กดไปแล้ว 9 ประตูใน UCL 2020
และล่าสุดเหมาคนเดียวสองประตูในรอบตัดเชือกกับ โอลิมปิก ลียง

.

ส่วนแนวรุกสองคน ต้องดูว่าสุดท้ายแล้ว ฟลิค จะตัดสินใจเลือกใช้ โธมัส มุลเลอร์ หรือ คูตินโญ่ ออกสตาร์ทในบทบาทหน้าต่ำคอยสนับสนุน โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
ทวงหาประตูที่ 16 พร้อมโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส”

.

แม้จะดูร้อนแรง เข้าฝัก และเหนือว่านิดๆ ในแง่ของผลงานกับประสบการณ์ แต่เรายังขอย้ำเดิมว่า ชีวิตคนเรามันต้องเดินไปข้างหน้า
หากเรายังมัวแต่ลุ่มหลงกับความสำเร็จในอดีต หรือความสำเร็จที่เพิ่งเกิดขึ้น จนกลายเป็นความประมาท สุดท้ายแล้วความประมาทนั่นแหละ
ที่จะย้อนกลับมาทำร้าย ทิ่มแทง และดับเปลวเทียวแห่งความหวังทุกอย่างลงไป เชื่อว่า ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค คงต้องย้ำกับนักเตะทุกคนให้ดีว่า
ต่อให้ผลงานที่ผ่านมาตลอด 10 นัดนับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มนั้นจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ถ้าคุณมาตกม้าตายพ่ายแพ้ในนัดชิงฯ
ชื่อของคุณก็จะถูกจารึกในไว้ประวัติศาสตร์ตัวเล็กว่าๆ เป็นแค่รองแชมป์เท่านั้น

.

อีกทั้งการฝากความหวังการทำประตูไว้ที่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (15 ประตู) หรือแม้แต่ แซร์จ กนาบรี้ (9 ประตู) แต่เพียงอย่างเดียว
ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายอีกต่อไป เพราะอย่าลืมว่า แนวรับของ เปแอสเช นั้นมีทั้ง ติอาโก้ ซิลวา หรือแม้แต่เด็กเก่าอย่าง ฆวน เบร์นาต
ที่คงไม่ยอมให้เกมริมเส้นของ “เสือใต้” ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่

.

จาก 32 ทีมที่ดีที่สุดในยุโรป ผ่านเส้นทางการคัดกรอง และอุปสรรคมากมาย กว่าเราจะได้สองทีมในรอบชิงชนะเลิศ ต้องมาดูกันว่า
สุดท้ายแล้วความกระหายในชัยชนะของฝั่งไหนจะมากกว่ากัน... จะเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
หรือจะเป็นโทรฟี่บิ๊กเอียร์สใบที่ 6 ของ บาเยิร์น มิวนิค และแน่นอนที่สุด เทพีแห่งโชคจะเข้าข้างฝ่ายใดในเอสตาดิโอ ดาลุซ
เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งแมตช์ ในฝัน ที่ตรึงใจในความทรงจำของแฟนบอลทุกๆ คน ท่ามกลางสายตาหลายล้านคู่จากทั่วทุกมุมโลกที่เฝ้าดูอยู่ผ่านการถ่ายทอดสดอย่างแน่นอน

.

สำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019/2020 นัดชิงชนะเลิศระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และบาเยิร์น มิวนิค
จะยังคงลงเล่นกันที่สังเวียน เอสตาดิโอ ดาลุซ ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในคืนวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคมนี้ (เช้าวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม)
เริ่มคิกออฟตั้งแต่เวลา 02.00 น. เป็นต้นไป

.

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!

 

 

BACK