BACK

 

 

"Manchester's Era ?"

28 ธ.ค. 2563

"Manchester's Era ?"

ช่วงเวลาทวงคืนความยิ่งใหญ่ของเมืองแมนเชสเตอร์ ?

.

จริงอยู่ที่แม้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โทรฟี่พรีเมียร์ลีกได้ตั้งตระหง่านในเมืองแมนเชสเตอร์ด้วยความภาคภูมิถึง 6 ครั้งด้วยกัน แต่ทว่าการสถาปนาความยิ่งใหญ่
ของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นที่ผ่านมาชนิดฉีกหนีทิ้งห่างทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบไม่เห็นฝุ่น เกิดเป็นคำถามที่บอร์ดบริหารทั้งสองทีม
จำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ช่องว่างดังกล่าวนั้นบีบลงเหลือน้อยที่สุด หรือถ้าเป็นไปได้ก็ต้องผลักดันตัวเองให้ทะยานแซง “หงส์แดง”
ที่แทบไม่ได้เสริมทัพไปให้ได้ นี่ยังไม่รวม เชลซี ที่ลงเม็ดเงินมหาศาลในตลาดซื้อขายนักเตะเพื่อทวงบัลลังก์จ้าวแห่งเกาะอังกฤษ
ทำให้สองทีมจากแมนเชสเตอร์จำเป็นที่จะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อเป้าหมายการทวงคืนความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

.

ด้วยศักดิ์ศรีของการเป็นตัวแทนจากเมืองแมนเชสเตอร์ ฝั่งสีแดงคือทีมที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และคว้าแชมป์ลีกได้มากที่สุด
ขณะที่ฝั่งสีฟ้า พวกเขาเต็มไปด้วยนักเตะระดับท็อปคลาส บวกกับเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ขับเคลื่อนให้พวกเขากลายเป็นทีมที่
ประสบมากที่สุดบนเกาะอังกฤษตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ Singha World Of Football จะพาคอบอลทุกท่านมาติดตามบทวิเคราะห์
ของสองทีมแห่งแมนเชสเตอร์ ว่าพวกเขาพร้อมแค่ไหนกับภารกิจทวงคืนความยิ่งใหญ่ในซีซั่นนี้ ก่อนที่ศึกพรีเมียร์ลีกจะถือฤกษ์เปิดฉากในอีกไม่กี่อึดใจ

.

#แมนเชสเตอร์ซิตี้

.

แม้จะสามารถจบฤดูกาลด้วยตำแหน่ง “รองแชมป์” พร้อมกับสถิติการถล่มประตูที่ดีที่สุดในลีก แต่ทว่าการมีแต้มตามหลังทีมแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล ถึง 18 คะแนน
บวกกับความผิดหวังในถ้วยยุโรป แน่นอนว่านี่คือช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ทั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และสาวก “เรือใบสีฟ้า” อยากจะผ่านไปให้ได้โดยเร็วที่สุด
เพราะด้วยคุณภาพของตัวผู้เล่นที่อาจจะพูดได้ว่าแข็งแกร่งทั่วแผ่น หากแต่ “ความคงเส้นคงวา” และการยืนระยะท่ามกลางการขับเคี่ยวที่สูสีต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่
จนส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ต้องพบกับความปราชัยในลีกไปถึง 9 ครั้ง มากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2015/2016 ที่พวกเขาแพ้ไปถึง 10 เกม และจบอันดับ 4 ของตาราง

.

นั่นจึงเป็นเหตุผลของการตัดสินใจสวนกระแสการรัดเข็มขัดทางการเงินของทีมอื่นๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการทุ่มงบราวๆ 70 ล้านปอนด์
ในการคว้า เฟร์ราน ตอร์เรส ปีกจอมพลิ้วจาก บาเลนเซีย, ปาโบล โมเรโน่ ดาวจรัสแสงวัย 18 ปี จาก ยูเวนตุส และเซนเตอร์ฮาล์ฟ
ดีกรีทีมชาติเนเธอร์แลนด์อย่าง นาธาน อาเก้

.

และที่มากไปกว่านั้นคือ การตกเป็นข่าวกับนักเตะที่ดีที่สุดในโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ที่แม้จะมีกระแสข่าวมากมายว่าทั้งจะมา หรือไม่มา
หากแต่ถ้าจอมทัพอาร์เจนไตน์รายนี้ต้องการจะย้ายออกจากถิ่นคัมป์ นู จริงๆ เชื่อว่าทีมที่มีศักยภาพในการทุ่มค่าเหนื่อยมหาศาล
รวมถึงศักยภาพของทีมที่เอื้อต่อการเล่นของ เมสซี่ เห็นทีก็คงหนีไม่พ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่แหละ เพราะอย่าลืมว่า คนที่คอยเจียระไนให้ ลิโอเนล เมสซี่
ผงาดมาเป็นนักเตะระดับโลกตัวจริงนั่นก็คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่รู้ว่าเขาควรจะใช้ เมสซี่ ลงเล่นในบทบาทอะไร เพื่อดึงศักยภาพที่มี
ให้ออกมาเป็นประโยชน์ต่อทีมมากที่สุด เมื่อบวกกับเป้าหมายการทวงคืนความสำเร็จทั้งพรีเมียร์ลีก ตลอดจนโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์ส” ที่ เป๊ป
และสาวก “เรือใบสีฟ้า” ใฝ่ฝันกันมานาน ลอนจินตนาการดูกันว่า หาก เมสซี่ เดินทางมาซบรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ในฤดูกาลนี้จริงๆ
เห็นทีเราคงได้เห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แผ่อำนาจราวกับสร้างจักรวรรดิลูกหนังของตัวเองอีกครั้งเป็นแน่

.

จุดแข็งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังคงเป็นเครื่องหมายการค้า และเปรียบดั่งอาวุธเด็ดของพวกเขานั่นก็คือเกมรุก หลังจากกดไป 303 ประตู
จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลหลังสุด และถึงแม้ว่าจะต้องเสีย เลรอย ซาเน่ ไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค รวมถึง ดาบิด ซิลบา ที่ลงรับใช้ทีมมานาน
แต่การได้ เฟร์ราน ตอร์เรส ที่เป็นตัวหลักของ บาเลนเซีย ได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 บวกกับดีกรีพาทีมชาติสเปนชุดเล็กกวาดแชมป์ยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 17 และ 19 ปี
ตลอดจนพาทัพกระทิงดุชุด U17 คว้ารองแชมป์โลก น่าจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่า นี่คือ เพชรเม็ดงาม แห่งวงการลูกหนังแดนกระทิงอย่างแท้จริง
และการได้ปีกที่มีทั้งความเร็วดุดจรวด และเซ้นส์บอลที่ครบเครื่องทั้งการเลี้ยง, ลูกเปิด และการจบสกอร์ จึงเป็นที่น่าสนใจว่า เป๊ป
จะตัดสินใจให้โอกาสเด็กหนุ่มวัย 20 รายนี้ออกสตาร์ทในฐานะตัวหลักของทีมเลยหรือไม่

.

การได้ นาธาน อาเก้ มายืนปักหลักในเกมรับ อาจจะไม่ใช่ดีลที่เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลแต่อย่างใด หากแต่ประสบการณ์การลงเล่น
ในฐานะตัวหลักของทีมบนเวทีพรีเมียร์ลีกมากว่า 5 ฤดูกาลติด พร้อมกับลงเล่นไปเฉียดๆ 150 นัด ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะ 25 ปีเท่านั้น บวกกับปัญหาอาการบาดเจ็บ
ของแนวรับทั้ง อายเมริค ลาป๊อร์กต์, จอห์น สโตนส์ หรือแม้แต่ แฟร์นานดินโญ่ จนทำให้ทีมเคยเผชิญสถานการณ์เหลือเพียงแค่ นิโกล่าส์ โอตาเมนดี้
ที่เป็นกองหลังธรรมชาติแค่คนเดียว ฉะนั้น การเข้ามาของ อาเก้ จึงเป็นดีลที่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง

.

ประเด็นเรื่องทีมเวิร์ค และแทคติกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากไปกว่า “ความกระหาย” ในการทวงคืนบัลลังก์แชมป์ของนักเตะทุกคนในทีม
และสำคัญที่สุด พวกเขาจะต้องไม่พลาดง่ายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในซีซั่นที่ผ่านมา จนทำให้พวกเขาต้องหลุดออกจากวงโคจรของการลุ้นแชมป์ตั้งแต่ไก่โห่
นี่คือบทเรียนชิ้นสำคัญที่ เป๊ป ต้องย้ำกับทุกๆ คนเสมอว่า ในทุกๆ นัดที่ลงสนาม เป้าหมายแรก และเป้าหมายเดียวของ “เรือใบสีฟ้า” ก็คือ “ชัยชนะ” เท่านั้น

.

#แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

.

เป็นเวลานานกว่า 7 ฤดูกาลแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถกลับคืนสู่จุดที่ควรจะเป็นนั่นคือ ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก (ครั้งล่าสุดคือซีซั่น 2012/2013)
ทำให้รอยต่อความสำเร็จที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้วางเป็นรากฐานไว้ถึงกับชะงัก แฟนบอลทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามถึงปรัชญาฟุตบอลในแบบฉบับของยูไนเต็ด
ที่พร้อมจะสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายโดยไม่สนใจว่าจะตกเป็นรองคู่แข่งมากน้อยเพียงใด เช่นเดียวกับเกมรุกที่เต็มไปด้วยความดุดัน เร้าใจจนแทบจะนั่งไม่ติด
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทัพ “ปีศาจแดง” ก้าวไปอยู่ในใจของแฟนบอลทั้งโลก

.

แต่ทว่าคาแรกเตอร์ดังกล่าวนั้นกลับหายไป เพราะสิ่งที่เป็นปัญหา และสะท้อนให้เห็นว่าเพราะเหตุใด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้
นั่นก็คือ “เกมรุก” หลังพบว่า ตลอด 7 ฤดูกาลหลังของพวกเขา แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูเฉลี่ยซีซั่นละ 61 ประตูเท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับค่าเฉลี่ยการยิงประตู
ของทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกตลอด 7 ฤดูกาลที่ผ่านมานั้นจะอยู่ที่ 92 ประตู

.

เท่ากับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ตามหลังค่าเฉลี่ยดังกล่าวถึง 31 ประตู !!!

.

จริงอยู่ที่ บรูโน่ แฟร์นานเดส จะเข้ามาสร้างความมหัศจรรย์ให้กับทีมได้ตั้งแต่ที่ก้าวสู่รั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด หากแต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้นจะพบว่า
เพลย์เมคเกอร์โปรตุกีสรายนี้ คือมิดฟิลด์ของ “ปีศาจแดง” เพียงคนเดียวที่ทำประตูได้มากกว่า 5 ลูกในลีก (8 ประตู) นั่นเท่ากับว่าภาระในการพังประตู
จึงตกอยู่ที่ บรูโน่, มาร์ซิยาล และแรชฟอร์ด แบบเต็มๆ ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทั้งสามคนนี้ในสนาม !!!

.

ในเมื่อ ปอล ป็อกบา ยังไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดของคำว่า “เวิลด์คลาส” ได้ดังเดิม ครั้งจะไปฝากผีฝากไข้ในเกมรุกกับ อันเดรียส เปเรยร่า
ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจดึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัวราวๆ 40 ล้านปอนด์

.

ด้วยวัยเพียงแค่ 23 ปี แน่นอนนี่คือการซื้อทั้งปัจจุบัน และอนาคต ด้วยประสบการณ์กับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของฮอลแลนด์ และ 10 นัด
ในสีเสื้อ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน ฟาน เดอ เบค คือหนึ่งในผู้เล่นที่หลายๆ คนต่างพากันคาดหวัง ไม่เว้นแม้แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

.

“ดอนนี่ มีคาแรกเตอร์ที่พร้อมจะนำความสำเร็จมาสู่ทีม (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) เขามีความสามารถในการมองหาที่ว่าง เวลาในการเคลื่อนที่
และการอ่านเกมของเขา จะช่วยเพิ่มคุณภาพที่เรามีในแผงมิดฟิลด์ได้อย่างแท้จริง ฟอร์มการเล่นของ ดอนนี่ ทั้งในลีกเอเรดิวิซี่ ลีก
รวมถึงในเกมยุโรปนั้นยอดเยี่ยมมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเราทุกคนตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเขา" นี่คือสิ่งที่กุนซือนอร์วีเจี้ยนได้ลั่นเอาไว้
ถึง ฟาน เดอ เบค ว่านี่อาจจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะสามารถยกระดับทีมไปสู่เป้าหมายของการทวงคืนความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

.

ทั้งนี้ มีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับมิดฟิลด์เลือดดัตช์รายนี้ คือ เจ้าตัวเป็นแข้งที่เรียกจุดโทษได้มากที่สุดใน เอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์
ตลอดจนมีส่วนกับการได้ประตูของต้นสังกัดเดิมถึง 49 ประตู อีกทั้งยังลงสนามให้กับ อาแจ็กซ์ ไปมากถึง 175 นัด และทำไป 41 ประตูในทุกรายการ
เรียกได้ว่าเจ้าตัวเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่เคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่อันตราย นั่นคืออ็อปชั่นที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้ประโยชน์จากการมี ฟาน เดอ เบค ในสนามแบบเต็มๆ

.

ต้องมาดูกันว่า การเดิมพันครั้งสำคัญของบอร์ดบริหาร “ปีศาจแดง” ในครั้งนี้ จะช่วยให้พวกเขายุติการรอคอยนานเกือบทศวรรษได้หรือไม่
เพราะขึ้นชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว การจบอันอันดับที่สามของตารางอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ใจแม้แต่นิดเดียว !!!

.

แล้วเรามาดูกันว่า สุดท้ายแล้วช่วงเวลาของความยิ่งใหญ่นั้นจะหมุนกลับมาจอดที่เมืองแมนเชสเตอร์ ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020/2021 ได้
อย่างที่ทั้งสาวก “เรือใบสีฟ้า” และ “ปีศาจแดง” หวังไว้หรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปพร้อมๆ กันครับ

.

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #ManU #Mancity

 

 

BACK