"ชัยชนะที่สำคัญ" ของสองทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ ประเดิมสนามพรีเมียร์ลีก 2020/2021
.
หลังจากที่พักเบรคกันได้ไม่นาน ในที่สุดศึกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก 2020/2021 ก็ได้ฤกษ์เปิดฉากฟาดแข้งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นบรรยากาศที่แฟนบอลลีกเมืองผู้ดีอาจจะยังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ต่อเนื่องมาจากปลายซีซั่นที่แล้วนั่นคือ การแข่งขันแบบไม่มีแฟนบอลในสนาม
อันเนื่องมาจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) แต่ถึงอย่างไร ทุกอย่างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปภายใต้คำว่า “New Normal” เพื่อความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพ
.
แต่ถึงอย่างไร ความมันส์ ความระอุดุเดือดในสนามภายใต้แบรนด์ “พรีเมียร์ลีก” ยังคงขายได้เสมอ ในฤดูกาลนี้เราต้องยอมรับว่ามีหลายๆ ทีมที่เสริมทัพได้อย่างน่าสนใจ
แต่ทว่าหลังจากผ่านสัปดาห์แรกของการแข่งขัน พบว่า มีประเด็นที่น่าสนใจมากๆ จากสองทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์นั่นคือ แชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล และคู่ปรับร่วมเมืองสีน้ำเงิน
อย่าง เอฟเวอร์ตัน วันนี้ Singha World Of Football จะมาวิเคราะห์กันว่า เพราะเหตุใด ทั้งสองทีมจึงเป็นที่ถูกพูดถึงจากแฟนบอลทั่วโลกเป็นอย่างมาก
.
#ลิเวอร์พูล รอยแผลในแนวรับ ความมหัศจรรย์ของ ซาลาห์ และคำถามถึงการเสริมทัพของ คล็อปป์ ?
.
ไม่มีใครปฏิเสธในเรื่องความยอดเยี่ยม ตลอดจนผลงานในฤดูกาลก่อนจนช่วยให้ “หงส์แดง” เถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นหนแรกในรอบ 30 ปี
ด้วยความสมดุลทั้งเกมรุก และรับจนสามารถกวาดได้ถึง 99 คะแนน รวมถึงผลต่างประตูได้เสียบวก 52 ประตู พร้อมกับสถิติไม่แพ้ใครในบ้านตลอดทั้งฤดูกาล
.
หากแต่เกมนัดเปิดสนามกับน้องใหม่หน้าเก่าอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่คัมแบ็คกลับคืนสู่เวทีพรีเมียร์ลีกในรอบ 16 ปี นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครต่อใครคิดเลยแม้แต่น้อย
และยากจนกระทั่ง ลิเวอร์พูล เกือบจะเอาตัวไม่รอดในเกมนี้หากไม่ได้แฮตทริก และความมหัศจรรย์ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พระเจ้าลูกหนังเลือดอียิปต์
.
หากเราเหลือบไปดูไลน์อัพก่อนเกม จะเห็นว่าเจ้าถิ่นจัดทัพชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่ง โดยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยด้วยการให้โอกาส นาบี เกอิต้า
ที่พิสูจน์ตัวเองจากช่วงพรีซีซั่นได้อย่างยอดเยี่ยมลงเล่นแทน ฟาบินโญ่ ขณะที่กัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็หายเจ็บกลับมาสวมปลอกแขนตัวจริง
ส่วน จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ตกเป็นข่าวเรื่องของการย้ายทีม ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ลงสนาม
.
ขณะที่แนวรุก และแผงหลังต้องบอกว่า ยังคงเป็นผู้เล่นชุดหลักที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกเน้นๆ แต่ทว่าการมาเยือนของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า
กุนซืออาร์เจนไตน์ของทัพ “ยูงทอง” ต้องบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล กำลังมีปัญหาในการเล่นเกมรับอย่างเห็นได้ชัด
.
เพราะจากสถิติตลอดทั้งเกม (อย่างเป็นทางการจาก พรีเมียร์ลีก) พบว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายครองบอลได้เหนือกว่าเจ้าถิ่น
ชนิดที่เราแทบจะไม่ได้เห็นเลยตลอดสองสามฤดูกาลที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน แม้ ลีดส์ จะมีโอกาสยิงเพียง 6 ครั้งตลอดทั้งเกม (ลิเวอร์พูล 22 ครั้ง)
แต่เหลือเชื่อว่า การยิงเข้ากรอบเพียงแค่ 3 ครั้งจะนำมาซึ่ง 3 ประตูของทีมเยือน และเกือบจะแบ่งแต้มออกไปจาก แอนฟิลด์ ได้
.
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นเกมนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม หลัง ซาลาห์ เรียกจุดโทษให้กับทีมได้ตั้งแต่สามนาทีแรก ก่อนจะลุกขึ้นมาสังหารอย่างเด็ดขาด
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที บิเอลซ่า ก็เริ่มปฏิบัติการฉีกแผลของ “หงส์แดง” จากบอลยาวของ คาลวิน ฟิลลิปส์ มาถึง แจ็ค แฮร์ริสัน
ก่อนที่เจ้าตัวจะโจมตีช่องระหว่างวิงแบ็ค และเซนเตอร์ฮาล์ฟทางฝั่งขวา และกดเต็มข้อผ่านมือ อลีซง เบคเกอร์ เข้าไปอย่างเลือดเย็น จนเริ่มเกิดคำถามว่า
หรือจริงๆ แล้ว ลิเวอร์พูล ควรมีปราการหลังระดับท็อปสักคนเพื่อมายืนเคียงข้าง หรือแบ่งเบาภาระ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค หรือไม่ ?
.
แม้ว่า ฟาน ไดจ์ค จะทะยานขึ้นมาโขกแบบเต็มศีรษะในอีก 8 นาทีถัดมาให้ทีมขึ้นนำเป็นครั้งที่สองในเกมนี้ แต่อีกสิบนาทีถัดมา บิเอลซ่า
ก็เอามีดมากรีแผลในแนวรับลิเวอร์พูลเป็นหนที่สอง หลัง ฟาน ไดจ์ค สกัดบอลพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย และคราวนี้เป็น แพทริค แบมฟอร์ด ที่ฉวยโอกาสจากส้มหล่นได้สำเร็จ
.
ลูกยิงสุดสวยของ ซาลาห์ อาจจะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น หากแต่ ลูกจ่ายคิลเลอร์พาสของ คอสต้า ที่ตัดหลัง ฟาน ไดจ์ค
และไปตกอยู่หน้า โกเมซ จนเลยมาถึง คลิช ได้แต่งก่อนซัดเต็มๆ คือจุดบอดครั้งที่สามในเกมรับแชมป์เก่า นั่นเท่ากับว่า
สามครั้งที่ “ยูงทอง” ได้กดเข้ากรอบ ทุกลูกได้ผ่านมือ อลีซง และเข้าไปซุกที่ก้นตาข่ายหมด
.
นี่คือสัญญาณเตือนครั้งสำคัญว่า ลิเวอร์พูล กำลังเผชิญกับปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะอย่าลืมว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด เพิ่งจะเลื่อนชั้นมายัง พรีเมียร์ลีก
เป็นหนแรกในรอบ 16 ปี และพวกเขาก็ไม่ใช่คู่แข่งที่แข็งแกร่งในเลเวลเดียวกับ “หงส์แดง” อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, อาร์เซน่อล
หรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดังนั้น ถ้าเกมรับของคุณยังไม่ดีพอ บอกได้เต็มปากเลยว่า การป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้ของพวกเขามีปัญหาแน่ๆ
.
นอกเหนือไปกว่านั้น กระแสเหล่า “เดอะ ค็อป” ทั้งโลก ยังโจมตีถึงเรื่องการเสริมทัพในฤดูกาลนี้ หลัง เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ตัว คอสตาส ซิมิกาส ฟูลแบ็คทีมชาติกรีซ
มาเพียงแค่คนเดียว ขณะที่เป้าหมายใหญ่อย่าง ติอาโก้ อัลคันธาร่า ก็ส่อแววล่ม และมีโอกาสสูงที่บิ๊กบอสชาวเยอรมันรายนี้จะไม่เสริมใครแล้ว
นั่นอาจจะทำให้เกิดความกังวลใจว่า ขุมกำลังของ “หงส์แดง” ในซีซั่นนี้ เพียงพอ และดีพอต่อการป้องกันแชมป์หรือไม่ เพราะเมื่อเหลือบไปดูทั้ง แมนฯ ซิตี้
หรือ อาร์เซน่อล ล้วนแต่เสริมหนักทั้งแนวรุก และรับ นี่ไม่ต้องพูลถึง เชลซี ที่จัดเต็มแข้งระดับบิ๊กเนมมากกว่าใคร หากแต่ถ้าในมุมของ คล็อปป์
ก็อาจจะคิดว่า การรักษาแข้งตัวหลักไว้ได้ทั้งหมด อาจจะเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดภายใต้สถานการณ์ทางการเงินยุคของทีมปัจจุบัน
เพราะสุดท้าย ฟุตบอลเป็นอะไรที่มากกว่าการลงเล่นในสนามเพียงอย่างเดียว และความสำคัญที่ทำให้ทีมยักษ์ใหญ่มากมายต้องล้มหายตายจากไปนั่น
ก็เป็นเพราะการบริหารจัดการทางการเงินที่ไม่ดีพอนั่นเอง และนั่นคือบทเรียนที่ ลิเวอร์พูล ได้เรียนรู้ และทำให้ทีมขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้อย่างสมูธที่สุดนั่นเอง
.
#เอฟเวอร์ตัน ยุค “อันเช่” กับฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบทศวรรษ
.
กล้าพูดได้เต็มปากว่า ณ วินาทีนี้ เมืองลิเวอร์พูล คือเมืองที่มีสองกุนซือที่ดีที่สุดในโลกอยู่ด้วยกันถึงสองคน คนแรกคงไม่ต้องสาธยายให้มากความอย่าง
เยอร์เก้น คล็อปป์ ของ ลิเวอร์พูล ส่วนอีกหนึ่งคน แน่นอนไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเขาคือพ่อมดยอดนักปรุงวัตถุดิบชั้นเลิศจากแดนมักกะโรนีนามว่า “คาร์โล อันเชล็อตติ”
.
แชมป์ 19 ใบตลอดชีวิตการคุมทีม เจาะลึกลงไปเป็น 4 แชมป์ลีกสูงสุด และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกสามหน คือเครื่องหมายการันตีว่า อันเชล็อตติ คือหนึ่งในกุนซือ
ที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง และหลายคนก็เกิดความสงสัยว่า เหตุใด “อันเช่” จึงตัดสินใจมาคุมทีมที่ไม่ได้มีดีกรีเทียบเท่ากับทีมที่เจ้าตัวเคยคุมก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
.
วิสัยทัศน์ เพื่อก้าวไปสู่ “โทรฟี่แชมป์” ของบอร์ดบริหารเอฟเวอร์ตัน คือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้ อันเชล็อตติ ตัดสินใจ “เซย์เยส” และทุกอย่างก็เริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ หลังบอร์ด “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” ตัดสินใจทุ่มเงินราวๆ 40 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่ามากในยุคโควิด-19 แลกกับ 4 แข้ง
ที่เชื่อว่าสามารถเข้ามายกระดับ เอฟเวอร์ตัน ได้ทันตาเห็น ไล่มาตั้งแต่ นีลส์ เอ็นคุนคู วิงแบ็กดาวรุ่งเลือดน้ำหอมที่พวกเขาปาดหน้า ยูเวนตุส มาได้,
อัลลัน มิดฟิลด์คู่บุญจาก นาโปลี, อับดุลลาย ดูกูเร่ ที่ “อันเช่” ยอมทุ่มเงินกว่า 20 ล้านปอนด์ ให้ วัตฟอร์ด และคนสุดท้ายที่พกดีกรีดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2014
อย่าง ฮาเมส โรดริเกซ ซึ่งถือได้ว่าเป็น “บิ๊กดีล” ที่สุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เลยก็ว่าได้
.
เมื่อมาผนึกรวมกับแข้งตัวหลักที่มีอยู่อย่าง โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน, ริชาร์ลิสัน, อังเดร โกเมซ, ไมเคิ่ล คีน, ลูก้า ดีญ และจอร์แดน พิคฟอร์ค
บวกกับมันสมองของ อันเชล็อตติ แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ เอฟเวอร์ตัน เวอร์ชั่นเดิมๆ ที่จบกลางตารางเป็นแน่
.
เกมเปิดสนามกับ สเปอร์ส เมื่อคืนที่ผ่านมา อันเชล็อตติ ตัดสินใจส่งแข้งรายใหม่ลงสนามถึง 3 คน พร้อมกับปรับแทคติคมายืนในระบบ 4-3-3
โดยให้ ฮาเมส ถ่างมาเล่นด้านข้าง ประสานงานกับ คัลเวิร์ต-เลวิน และริชาร์ลิสัน ส่วน อัลลัน และดูกูเร่ ปักตรงแผงมิดฟิลด์คอยสนับสนุน อังเดร โกเมซ
แน่นอนว่ารูปแบบการเล่นดังกล่าวได้ผลทันตาเห็น จนทำให้พวกเขามีโอกาสลุ้นพังประตูมากกว่าเจ้าถิ่น และบดขยี้แดนกลางของทัพ “ไก่เดือยทอง”
ได้อย่างสิ้นซาก ในเมื่อ มูรินโญ่ วาง แฮร์รี่ เคน ไว้ค้ำเพียงแค่คนเดียว ทุกอย่างก็ดูเข้าทาง อันเชล็อตติ และลูกทีมไปหมด เพราะแดนกลางของ สเปอร์ส
ไม่สามารถทำอะไร อัลลัน กับ ดูกูเร่ ได้เลยแม้แต่น้อย แม้กุนซือโปรตุกีส จะพยายามแก้เกมตรงกลางแล้วก็ตาม
.
ประตูชัยจากลูกโหม่งของ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน คือสิ่งที่บอกกับเหล่า “เอฟเวอร์โตเนี่ยน” ทุกคนได้เลยว่า เอฟเวอร์ตัน กำลังเข้าสู่ยุคอันน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะ สเปอร์ส เอง
ถือเป็นคู่แข่งที่หากจะพูดกันตรงๆ แล้ว ก็ถือว่าเหนือกว่า และแข็งแกร่งกว่าพวกเขา หากแต่ อันเชล็อตติ คือกุนซือจอมแทคติคที่พิสูจน์ฝีมือกับทีมระดับแถวหน้ามานักต่อนักแล้ว
เชื่อว่า ความคงเส้นคงวาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เอฟเวอร์ตัน ดีพอที่จะสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็น “บิ๊กทีม” บนเกาะอังกฤษได้แล้วรึยัง
.
สามแต้มของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ถูกเปิดแผลในเกมรับ กับสามคะแนนของ เอฟเวอร์ตัน ในวันที่ต้องเจอกับทีมที่แกร่งกว่า จึงถือเป็น "ชัยชนะที่สำคัญ"
ของสองทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ ในการประเดิมสนามพรีเมียร์ลีก 2020/2021 อย่างแท้จริง
.
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!