BACK

 

 

"ความสมบูรณ์แบบ" และ "การคัมแบ็ค" อันยอดเยี่ยมอีกครั้งของ ลิเวอร์พูล

8 ม.ค. 2564

"ความสมบูรณ์แบบ" และ "การคัมแบ็ค" อันยอดเยี่ยมอีกครั้งของ ลิเวอร์พูล
แม้จะต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนจากความผิดพลาดในเกมรับ แต่สุดท้ายแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ก็ยังรักษาสถิติไร้พ่าย พร้อมกับคว้าชัยได้สามนัดติดต่อกัน
หลังเปิดรังแอนฟิลด์แซงเอาชนะอีกหนึ่งทีมแกร่งจากลอนดอนอย่าง อาร์เซน่อล ไปด้วยสกอร์ 3-1
.
ผลงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมในนัดนี้ สะท้อนให้แฟนบอลทั้งโลกเห็นถึงอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการเอาตัวรอดยามต้องพบกับทีมที่มีมาตรฐานใกล้เคียง
กับพวกเขาอย่าง อาร์เซน่อล ซึ่งคำตอบสุดท้าบพบว่า ลิเวอร์พูล ยังรักษามาตรฐานการเล่นเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม วัดได้จากสถิติที่ไม่เคยโกหกใครในแมตช์ดังกล่าว
.
วันนี้ Singha World Of Football จะพาทุกท่านมาดูกันว่า เกิดอะไรขึ้นที่ แอนฟิลด์ ท่ามกลางความยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล และเพราะเหตุใด อาร์เซน่อล
จึงไม่สามารถกุมความได้เปรียบจากประตูขึ้นนำ จนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องพลาดท่าพ่ายไปในที่สุด...
.
.
ไม่มีใครปฏิเสธความยอดเยี่ยมของ เลสเตอร์ ซิตี้ หลัง “จิ้งจอกสยาม” บุกไปเชือด แมนฯ ซิตี้ คารังเอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 2-5 นั่นจึงเท่ากับว่า เยอร์เก้น คล็อปป์
และลูกทีมจำเป็นต้องลงสนามด้วยเงื่อนไขเอาชนะ อาร์เซน่อล ให้ได้สถานเดียว เพื่อรักษาระยะห่างในการป้องกันแชมป์ต่อไป
.
นั่นจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ “หงส์แดง” ต้องตัดสินใจเร่งเครื่องในทันที นั่นจึงเป็นทั้งแรงกระตุ้น และแรงกดดันพวกเขาไปในตัว
กระทั่งความผิดพลาดในการสกัดบอลของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จากจังหวะโดนโต้กลับ ก่อนที่ อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ จะฉกฉวยความผิดพลาดดังกล่าว
พร้อมตวัดยิงเข้าไปอย่างเลือดเย็น ได้กลายเป็นแรงผลักดันที่สองที่เตือนเหล่าแข้งเจ้าถิ่นว่า ความพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซน่อล สามนัดติดในทุกรายการ
คงไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อทีมที่วางเป้าหมายป้องกันแชมป์ต่อเป็นแน่ นั่นจึงช่วยเร้าให้ ลิเวอร์พูล คอนโทรลเกมนัดนี้โดยเบ็ดเสร็จ และนั่นคือสิ่งที่เราจะพูดในข้อต่อไป
ว่าอะไรคือกุญแจสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล กลับมาสู่เกมนี้ได้ในท้ายที่สุด
.
.
จริงๆ แล้ว เยอร์เก้น คล็อปป์ วางแทคติกนี้ตั้งแต่เริ่มเกม และทำให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสได้ประตูขึ้นนำไปก่อนอย่างน้อยสองครั้งจาก ซาดิโอ มาเน่
และเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กระทั่งการเสียประตูจากจังหวะโต้กลับ หากเป็นโค้ชคนอื่นเชื่อว่าน่าจะมีการปรับแทคติกอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่ทว่า คล็อปป์
ยังเลือกที่จะเดินหน้าฆ่าด้วยรูปแบบดังกล่าวไม่เปลี่ยน เพราะความเชื่อมั่นทั้งในศักยภาพของลูกทีม รวมถึงแทคติกที่ดูเป็นธรรมชาติของทัพ “หงส์แดง” ที่สุดแล้ว
.
เกมนี้ ลิเวอร์พูล ใช้นักเตะไม่น้อยกว่า 5 คนในการเข้าไปป้วนเปี้ยนเพรสซิ่ง อาร์เซน่อล ตั้งแต่พื้นที่แดนบน (หมายถึงบริเวณข้างใน และหน้ากรอบเขตโทษ)
แน่นอนว่าแนวรุกทั้งสามคนทั้ง ซาลาห์, มาเน่ และฟีร์มีโน่ คืนแกนหลักในรูปแบบการเล่นแบบนี้อยู่แล้ว ขณะที่แผงมิดฟิลด์ จะเห็นได้ว่าแม้แต่ ไวจ์นัลดุม
ก็ยังตามขึ้นมากดดันให้ผู้เล่นอาร์เซน่อล ออกบอลยากด้วยเช่นกัน นี่ยังไม่รวมวิงแบ็กสองฝั่งทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
ที่เพรสเข้าใส่ เทียร์นีย์ และเบเยริน จนนำมาซึ่งความสับสนในการจัดการแนวรับทั้ง ร็อบ โฮลดิ้ง หรือดาวิด ลุยซ์ จนเป็นเหตุให้ โรเบิร์ตสัน
สอดขึ้นมาใส่สกอร์หน้าตาเฉย ชนิดที่ไม่มีใครตามประกบแม้แต่คนเดียว
.
และที่สำคัญ นี่คืออีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งจุดแข็งของพวกเขาอย่าง วิงแบ็กทั้งสองฝั่ง
ที่ประสานงานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีเลยก็ว่าได้
.
.
หากไม่นับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่หายไปในเกมนี้ เท่ากับว่านี่คือไลน์อัพชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล เลยก็ว่าได้ ด้วยทีมเวิร์ค
และการประสานงานชนิดมองตาก็รู้ใจ จนทำให้ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือเลือดกระทิงดุของ อาร์เซน่อล ถึงกลับต้องออกมายอมรับหลังเกมว่า ลิเวอร์พูล
เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า และเป็นมาตรฐานที่พวกเขาจะต้องพัฒนาไปให้ถึง
.
“ความจริงก็คือพวกเขาเหนือกว่ามากเราในหลายๆ แง่มุม ผมพอใจนะกับวิธีที่ทีมเราพยายามสู้ และยังเชื่อมั่น นี่เป็นมาตรฐานที่เราจะต้องไปให้ถึง
เราอยู่ในการเดินทางที่แตกต่างกัน พวกเขาอยู่ด้วยกันมา 5 ปีแล้ว ส่วนเราเพิ่งจะแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น"
.
แม้จะไม่ได้ดูหวือหวาระดับ บาเยิร์น มิวนิค ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หากแต่ความลงตัวที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ใช้เวลาสร้างมาร่วมๆ ครึ่งทศวรรษ
จนทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรป ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ทีมในอังกฤษอยากจะไปให้ถึง และการพลิกกลับมาแซงเอาชนะ อาร์เซน่อล
ในวันนี้ด้วยสถิติในเกมที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ยังมีช่องว่างอยู่ประมาณหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล ได้สร้างขึ้นมาไว้ไม่ให้เพื่อนร่วมลีกได้เข้ามาเฉียดพวกเขา
.
จริงอยู่ที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คือหัวใจสำคัญในแดนกลางที่ คล็อปป์ แทบจะขาดไปไม่ได้ แต่ในเมื่อสถานการณ์มันบีบให้พวกเขาต้องลงเล่นโดยไร้เงากัปตันตัวจริง
ลิเวอร์พูล ก็ยังรักษาโมเมนตั้มในแดนกลางไว้ได้อย่างมั่นคง โดยที่ยังไม่ต้องพึ่ง ติอาโก้ อัลคันทาร่า เลยแม้แต่น้อง เพราะทั้ง นาบี เกอิต้า, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม
รวมถึง ฟาบินโญ่ ที่ถูกโยกกลับมาเล่นในตำแหน่งถนัดอีกครั้งสามารถช่วงให้ทีมครองเกมในแดนกลางได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่มากถึง 66% (อาร์เซน่อล 34%) จนกลายเป็นจำนวนการผ่านบอลกว่า 772 ครั้ง (อาร์เซน่อล 395 ครั้ง)
ในเมื่อคุณเป็นฝ่ายที่มีบอลอยู่กับตัวมากกว่าค่อนตัว จึงไม่แปลกใจที่เกมนี้ ลิเวอร์พูล จะมีโอกาสได้ลุ้นพังประตูกว่า 21 ครั้ง ขณะที่ทัพ “ ปืนใหญ่” มีโอกาสเพียง 4 หนเท่านั้น
.
เช่นเดียวกับผลงานของ ซาดิโอ มาเน่ ในเกมนี้ ที่มีค่าเฉลี่ยจาก บีบีซี สื่อยักษ์ใหญ่ในเกาะอังกฤษถึง 8.20 มากกว่าใครในสนาม
เพราะนอกเหนือจากประตูตีเสมอที่ช่วยให้ทีมกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีแล้ว อิทธิพลในสนามของดาวเตะเซเนกัลผู้นี้ ยังส่งผลต่อความอันตรายในการขับเคลื่อนเกมรุก
และยกระดับให้ทั้ง ฟีร์มีโน่ กับ ซาลาห์ ทวีความน่ากลัวทั้งยามมีบอล และไม่มีบอลอยู่กับตัวในพื้นที่กรอบเขตโทษ ด้วยบทบาทที่ คล็อปป์ ได้สร้างให้ มาเน่
เป็นทั้งปีกซ้าย บวกเพลย์เมคเกอร์ และศูนย์หน้า เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูล ที่มี มาเน่ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากอัศวินที่ติดดาบเหลกอันคมกริบไว้ในมือ
และพร้อมจะสังหารศัตรูคู่แข่งได้ทุกเมื่อ
.
นอกจากนี้ ขุมกำลังสำรองที่ คล็อปป์ มีในชุดนี้ ล้วนแต่อุดมไปด้วยไพ่ใบเด็ดที่พร้อมจะลงไปทำหน้าที่ทดแทนแข้งตัวหลังได้ชนิดไร้รอยต่อ ทอเต็มผืน
และคนที่พิสูจน์ตัวเองให้เหล่า “เดอะ ค็อป” เห็นได้อย่างรวดเร็วนั่นก็คือ ดิโอโก้ โชต้า แนวรุกทีมชาติโปรตุเกสรายใหม่ถอดด้ามของทีม
.
โชต้า ถูกส่งลงสนามพร้อมกับเวลาราวๆ 10 นาที และเหลือเชื่อว่าการปรับตัวกับรูปแบบการเล่นของทีมได้อย่างรวมเร็ว ทำให้เราสัมผัสได้ทันทีว่า
แนวรุกแดนฝอยทอง สามารถอาศัยจุดเด่นของตัวเองนั่นคือการขยับหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษ จากคิลเลอร์พาสของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
เพียงแต่จังหวะสุดท้ายเจ้าตัวพยายามที่จะปั่นบอลหนีมือ เลโน่ มากจนบอลพุ่งไปเข้าข้างหน้าต่าง แต่ถึงอย่างไร นี่คือสัญญาณเตือนหนแรกที่ โชต้า
ได้ส่งไปทั้งๆ ที่เวลาอยู่ในสนามเพียงแค่ 2 นาทีเศษเท่านั้น
.
กระทั่งก่อนหมดเวลาราวๆ สามนาที โชต้า คนเดิม ก็ปลดล็อคตัวเองจากโซ่ตรวน และพันธนาการทั้งปวงได้สำเร็จ จากจังหวะที่ ดาวิด ลุยซ์ โหม่งสกัดไม่ขาด
บอลลอยมาเข้าทางเจ้าตัวก่อนที่จะพักบอลด้วยหน้าขา และกดเน้นทิศทางผ่านมือ แบรนด์ เลโน่ เข้าไปแบบนิ่มๆ
กลายเป็นการเปิดตัวอันยอดเยี่ยมของเจ้าตัวไปโดยปริยาย นี่คือสิ่งที่บอกได้ว่า นอกเหนือจาก 11 ตัวจริงที่แข็งแกร่งแล้ว ลิเวอร์พูล เอง
ก็ยังยกระดับผู้เล่นในม้านั่งสำรองให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้เล่นตัวจริงด้วยเช่นกัน
.
ด้วยสถิติที่เหนือกว่าทุกกระบวบ บวกกับรูปเกม การแก้เกม และสามคะแนนในบั้นปลาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราใช้คำว่า “สมบูรณ์แบบ” กับ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้
.
.
สองประตูของ ไมเคิ่ล โอเว่น ในมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม, ห้าประตูใน ยูฟ่า คัพ เหนือ อลาเบส, ลูกไฟของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สองครั้งสองหน
กับ โอลิมเปียกอส และเวสต์แฮม ยูไนเต็ด,ตำนานอันลือลั่นที่อิสตันบูล ที่ทำเอาสาวก “ปีศาจแดงดำ” และคาร์โล อันเชล็อตติ ใจสลาย,
ลูกโหม่งของ เดยัน ลอฟเรน ในวินาทีสุดท้ายของเกมกับ ดอร์ทมุนด์ หรือจะเป็นแมตช์ช็อคโลกในการรัว 4 เม็ดใส่ บาร์เซโลน่า ต่อหน้าต่อตา ลิโอเนล เมสซี่
ในแอนฟิลด์ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นการฟื้นจากภายตายภายใต้แบรนด์ “ลิเวอร์พูล” ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเชื่อได้เลยว่านี่คือคาแรกเตอร์
นี่คือจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเอาไปจาก ลิเวอร์พูล ได้ เช่นเดียวกับเกมนี้ แม้ว่า อาร์เซน่อล จะบุกมานำ 0-1 จากการฉกฉวยโอกาสของ ลากาแซ็ตต์
หากแต่ถ้าคุณมีระบบอันยอดเยี่ยม คุณมีปรัชญาการเล่นที่ชัดเจน และมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ชนะ สุดท้ายแล้วคุณจะพยายามทำทุกอย่าง
เพื่อให้ทีมกลับมาคว้าชัยชนะได้ในที่สุด และสกอร์ 3-1 ก็ถือเป็นรางวัลที่แข้ง “หงส์แดง” สมควรได้รับอย่างแท้จริง ด้วยสามคะแนนสำคัญ
ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งหัวตารางร่วมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อนร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน
.
แม้ว่าเส้นทางการลุ้นป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้จะยังอีกยาวไกล ยังมีอีก 35 สัปดาห์ให้ทุกทีมได้ขับเคี่ยวกัน หากแต่ถ้า ลิเวอร์พูล
สามารถรักษาความคงเส้นคงวาแบบนี้ได้เรื่อยๆ บวกกับความผิดพลาดของทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ด้วยกันทั้ง แมนฯ ซิตี้ และเชลซี เชื่อว่า คล็อปป์
และลูกทีมก็พร้อมจะเดินหน้าเต็มที่เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” อีกครั้งในซีซั่นนี้ เพื่อตอกย้ำคำว่า “สมบูรณ์แบบ” ให้กับ “หงส์แดง” ชุดนี้อย่างแท้จริง
.
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!

 

 

BACK