"สัปดาห์อันตราย" ที่ เชลซี - สองทีมจากแมนเชสเตอร์ จะพลาดไม่ได้ !
.
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำเอาแฟนบอลพรีเมียร์ลีกช็อกไปตามๆ กัน กับผลงานของสามทีมใหญ่ของเกาะอังกฤษ
ไล่มาตั้งแต่ เชลซี ที่ซีซั่นนี้ทุ่มเม็ดเงินมากมายแลกมากับนักเตะระดับท็อป แต่กลับมาต้องสวมบทหัวใจสิงห์เพื่อพลิกสถานการณ์เอาตัวรอด
จากการตามหลังสามประตูได้อย่างหวุดหวิด รวมถึงสองทีมจากแมนเชสเตอร์ ทั้ง แมนฯ ซิตี้ ที่ถูก เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เจมี่ วาร์ดี้ เผาเครื่องคาถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
ถึงห้าประตู ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็หวิดเอาตัวไม่รอด หลังมาได้จุดโทษวีเออาร์ช่วยชีวิต และเป็น บรูโน่ แฟร์นันเดส ที่รับหน้าที่สังหารในช่วงวินาทีสุดท้ายของเกมจริงๆ
.
ทั้งหมดนี้คือผลงานที่ต้องบอกว่า “ไม่น่าอภิรมย์ใจ” เป็นอย่างยิ่ง เพราะความคาดหวังจากแฟนบอลทั้งสามทีมนั้นสูงเกินกว่าที่จะรับได้กับผลการแข่งขันในสัปดาห์ที่ผ่านมา
และเชื่อว่าศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก สัปดาห์นี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งวีคที่เต็มไปด้วยความกดดัน เพราะไม่เพียงแต่สามคะแนนที่ทั้ง เชลซี, แมนฯ ซิตี้ และแมนฯ ยูไนเต็ด
ต้องคว้าให้ได้ แต่สิ่งที่แฟนบอลต่างคาดหวังมากกว่านั้นก็คือ การแสดงคาแรกเตอร์ที่ดีพอต่อการประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นโจทย์ที่ยากไม่น้อย
เพราะอย่าลืมว่า ยังมีทั้ง ลิเวอร์พูล, เลสเตอร์ ซิตี้ และเอฟเวอร์ตัน ที่ยังเดินหน้าด้วยคำว่า “ชนะรวด” คอยขวางเป็นกระดูกชิ้นโต รวมถึง สเปอร์ส กับ อาร์เซน่อล
ที่ประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว นี่คือจุดที่แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานของพรีเมียร์ลีกนั้นสูงลิบ และเต็มไปด้วยความกดดัน ขึ้นอยู่กับว่าทีมไหน
จะสามารถรับมือกับความคาดหวังที่ถาโถมกระหน่ำเข้าใส่ตลอดเวลา พร้อมกับสายตาของแฟนบอลเฉียดพันล้านที่ติดตามการถ่ายทอดสดในแต่ละสัปดาห์
.
วันนี้ Singha World Of Football จะมาแฟนบอลทุกท่านมาดูว่า สัปดาห์นี้ของ เชลซี และสองทีมจากแมนเชสเตอร์นั้นเต็มไปด้วยความอันตรายมากน้อยแค่ไหน
และพวกเขาดีพอหรือไม่ที่จะพิชิตสามคะแนน พร้อมกับคาแรกเตอร์ที่พร้อมจะไล่ล่าความสำเร็จในฤดูกาลนี้ !!!
.
.
หากคุณตามหลังอยู่สามประตู แล้วคุณสามารถกลับมาตีเสมอได้ แน่นอนนี่คงเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมในการคัมแบ็กสู่เกมแน่ หากแต่ประโยคนี้ใช้ไม่ได้กับทีมระดับ เชลซี
เพราะด้วยเม็ดเงิน และคุณภาพของตัวผู้เล่น แต่ความผิดพลาดในเกมรับได้นำมาสู่การเสียประตูที่ไม่น่าให้อภัย ได้ทำให้ทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
จนกระทั่งเหล่าแนวรุกเริ่มทำงาน ไล่มาตั้งแต่ เมสัน เมาท์, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และแทมมี่ อับราฮัม ซึ่งล้วนแต่เป็นเด็กปั้น “สิงห์บลู” ขนานแท้
แต่ถึงอย่างไร การเก็บได้เพียงแค่หนึ่งคะแนนจากสังเวียน เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ก็ถือเป็นผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังอยู่ดี ก่อให้เกิดคำถามว่า เชลซี พร้อมแค่ไหน
กับการท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่นนี้ หากแต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ยังมองในแง่ดีว่า ผลเสมอจากวีคที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนชั้นยอด
ที่จะช่วยให้ทุกคนในทีมตื่นตัว และเรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
.
“มันเป็นข้อผิดพลาดที่ชัดเจนของพวกเราจนนำไปสู่การเสียประตู และความผิดพลาดในฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกย่อมทำให้ทีมต้องตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้
ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของทีมเรา และหวังว่าความผิดพลาดครั้งนี้มันจะช่วยให้ทีมของเราก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น”
.
ความน่ากลัวของ คริสตัล พาเลซ ชุดนี้ก็คือ ในซีซั่นนี้พวกเขาคว่ำทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้แล้ว อีกทั้งเกมนัดล่าสุดกับ เอฟเวอร์ตัน
พวกเขาก็ยังต่อกรกับลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้อย่างสูสี หากแต่ไม่สามารถต้านทานความร้อนแรงของ โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ได้เท่านั้น
อีกทั้งทีมชุดนี้ล้วนแต่เล่นด้วยกันมานานในยุคของ รอย ฮ็อดจ์สัน ฉะนั้นหากคุณคิดว่า เชลซี ต้องปิดเพียงแค่ วิลฟรีด ซาฮา หรือ แอนดรอส ทาวน์เซนด์
หรือคริสติย็อง เบนเทเก้ เห็นทีจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว
.
ความละเอียดในเกมรับที่จะทำให้ เชลซี กับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น ฉะนั้น การกลับมาเล่นในรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ วีคนี้ จึงเป็นโอกาสที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
จะได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่า เชลซี ชุดนี้ยังคงเต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ของความเป็นผู้ชนะที่กระหายในความสำเร็จ
โดยมี คริสตัล พาเลซ เป็นผู้เตรียมให้คำตอบว่า “สิงโตน้ำเงินคราม” แห่งกรุงลอนดอน จะดีพอหรือไม่ ?
.
.
หากดูชื่อชั้น และขุมกำลังโดยรวม แน่นอนว่าลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นย่อมดูดีกว่าทัพ “ยูงทอง” อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะโทรฟี่แชมป์ลีก 4 สมัยในรอบทศวรรษ (ยุคของ เป๊ป 2 สมัย) นั้นคงจะบอกได้ว่า ทัพ “เรือใบสีฟ้า” นั้นดูเหนือกว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด
ที่เพิ่งจะคัมแบ็กสู่ลีกสูงสุดได้เป็นหนแรกในรอบ 16 ปีอย่างเห็นได้ชัด หากแต่การออกสตาร์ทในซีซั่นนี้ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยุค มาร์เซโล่ บิเอลซ่า นั้นช่างร้อนแรง
ราวกับระบำแทงโก้ใน บัวโนสไอเรส จริงๆ เพราะชัยชนะตลอดสองเกมหลังสุด บวกกับการบุกไปพ่าย “หงส์แดง” ในเกมนัดเปิดสนามชนิดได้ใจแฟนบอล
ส่งผลให้พวกเขาทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 7 ของตารางพร้อมกับสถิติมีเกมรุกดีที่สุดเป็นอันดับที่สามในลีก ยิ่งการได้กลับมาเล่นใน เอลแลนด์ โร้ด
ก็พอจะบอกได้ว่า เกมนัดนี้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้มาเคี้ยวพวกเขาง่ายๆ อย่างแน่นอน
.
จุดที่ เป๊ป และทีมสต๊าฟต้องเร่งแก้ไขให้ได้โดยเร็วก็คือ เกมรับที่ถูก เลสเตอร์ เปิดแผลขนาดใหญ่ให้โลกได้เห็น
จริงอยู่ที่ห้าประตูที่เสียไปนั้นมาจากลูกจุดโทษถึงสามลูก แต่ถ้าวิเคราะห์ลงไปให้ลึกกว่านั้นก็ต้องมองว่า เกมรับของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
มีปัญหากับบอลในพื้นที่สุดท้าย จนนำมาซึ่งการถูกลงโทษในกรอบ 18 หลา ตลอดจนการรักษาสกอร์เพื่อปิดเกม
ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นฝ่ายได้ประตูออกนำไปก่อนตั้งแต่ 4 นาทีแรก และมีโอกาสได้ลุ้นพังประตูมากถึง 16 ครั้ง เทียบกับ “จิ้งจอกสยาม” ที่ยิงเข้ากรอบ 7 ครั้ง
แต่ได้มาถึง 5 ประตู นี่คือสมดุลเกมรุก และรับที่กุนซือชาวสเปนต้องรีบทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็น “เรือใบสีฟ้า” ลำเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุด
.
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในเกมนัดนี้ก็คือ การโคจรมาพบกันของคนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยกให้เป็นอาจารย์ลูกหนังของเขาอย่าง มาร์เซโล่ บิเอลซ่า
จากบทสัมภาษณ์ที่เจ้าตัวเคยพูดถึงขงเบ้งลูกหนังอาร์เจนไตน์คนนี้เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลัง ลีดส์ ยูไนเต็ด ผงาดขึ้นมายืนหยัดบนเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
.
“เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เขาทำทีมด้วยรูปแบบการเล่นของตนเอง มันวิเศษจริงๆ ที่ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาจากเขา
เขาเป็นคนที่น่าเหลือเชื่อ และมันน่าเหลือเชื่อสำหรับฟุตบอลอังกฤษที่จะมีเข้าอยู่ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า, ตำแหน่งชนะเลิศจะช่วยให้คุณได้ทำงานต่อไป
แต่ในตอนท้ายที่สุดของชีวิตไม่ใช่แค่ชื่อ แต่มันคือความทรงจำที่คุณมีจากการเรียนรู้
สิ่งที่เราจำได้คือประสบการณ์ มาร์เซโล่ คือหนึ่งกุนซือระดับท็อปที่อยู่ด้านบนสุดของตาราง”
.
.
ถือว่าเป็นมวยที่ถูกคู่สุดๆ เพราะขึ้นชื่อว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะได้เดินทางกลับมายังถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฐานะกุนซือของทีมคู่แข่ง
แค่นี้ก็คงสนุกเกินกว่าจินตนาการ อีกทั้งผลงานการออกสตาร์ทของทั้งสองทีมในซีซั่นนี้ก็ถือได้ว่าไม่สวยงามดั่งใจหวังทั้งคู่
ฉะนั้น การโคตรมาพบกันในซูเปอร์ บิ๊กแมตช์ สัปดาห์นี้ จึงมีความหมายต่อทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสเปอร์ส เป็นอย่างยิ่ง
.
แม้ว่าทัพ “ปีศาจแดง” จะสามารถคว้าสามแต้มสำคัญเหนือ ไบรท์ตัน ได้ หากแต่ชัยชนะในแมตช์ดังกล่าว ได้ทำให้เหล่าสาวก “เร้ด เดวิลส์”
ทั้งโลกกลับมาตั้งคำถามกับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อีกครั้งว่า นี่คือคนที่ใช่กับเก้าอี้อันทรงเกียรติที่กุนซือระดับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยนั่งอยู่จริงหรือไม่
และเป็นอีกครั้งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบเอาตัวรอดจากทีมที่ถูกมองว่าห่างชั้นกว่าไม่ได้ หากไม่ได้จุดโทษในช่วงวินาทีสุดท้ายของเกมมาช่วยชีวิต
.
อีกทั้งประเด็นการเดินหมากในตลาดซื้อขายนักเตะที่หลายคนต่างมองว่าบอร์ดบริหารชุดนี้ของทีมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนทำให้หลายคนมองว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เป็นเพียงแค่ทีมที่ถูกเหล่าเอเย่นต์โยงกับนักเตะของตนเพื่ออัพเกรดราคามากกว่า ทำให้ฤดูกาลนี้ เรายังไม่เห็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหม่ในแผงหลัง
ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ฟอร์มการเล่นของ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ หรือแม้แต่ ดาบิด เด เคอา ที่มาตรฐานตกไปตั้งแต่ซีซั่นที่ผ่านมา
.
ความมั่นใจจากการไล่ถลุง มัคคาบี้ ไฮฟา (อิสราเอล) จนตีตั๋วในศึกยูโรฟ้า ลีก ได้สำเร็จ พร้อมกับแฮตทริกของ แฮร์รี่ เคน ขณะที่ ซน ฮึง มิน
ก็สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในแนวรุกที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก น่าจะเป็นฝันร้ายที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องหาวิธีรับมือทั้งสองคนนี้ให้ได้
เพราะไม่เช่นนั้น โอกาสที่เราจะได้เห็นไฟลุกท่วมเก้าอี้ของกุนซือนอร์วีเจี้ยนรายนี้หลังเกมก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะอย่าลืมว่า การเป็นเฮดโค้ชแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
คือหนึ่งในงานที่เต็มไปด้วยความกดดันมากที่สุดในโลก ครั้งจะไปหวังพึ่งความมหัศจรรย์ของ บรูโน่ แฟร์นันเดส หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทุกเกมก็คงจะเป็นไปไม่ได้
และที่สำคัญ หากทัพ “ปีศาจแดง” เพลี่ยงพล้ำคาโรงละครแห่งความฝันจริง โอกาสที่พวกเขาจะคัมแบ็กกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในซีซั่นนี้ก็คงพลอยมอดดับไป
ตั้งแต่เข้าเดือนตุลาคม และนั่นคือหายนะของจริงสำหรับหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างพวกเขา
.
และนี่คือความสนุกของศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในสัปดาห์นี้ที่คอบอลพลาดไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ
จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์
และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!