"MANCHESTER UNITED VS CHELSEA"
เมื่อชัยชนะนัดนี้มีค่ามากกว่า 3 คะแนน
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน หากแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นการโคจรมาพบกันของ “ปีศาจแดง” และ “สิงห์บลู” แน่นอนว่า
ย่อมเป็นแมตช์ที่เปี่ยมไปด้วยความดุเดือด สูสี สมกับการเป็นสองทีมยักษ์ใหญ่บนเกาะอังกฤษอย่างแท้จริง
และในสัปดาห์นี้ ทั้งสองทีมต่างถูกจับจ้องจากสายตาแฟนบอลนับหลายล้านคู่ทั่วโลก
ในฐานะ “ซูเปอร์ บิ๊กแมตช์” ของศึกลูกหนังที่มีคนติดตามมากที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก
.
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จบนเวทีลีกสูงสุดมากที่สุด
นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 (เดิม) สู่ พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวนโทรฟี่แชมป์ลีกรวมกันถึง 18 สมัย (จาก 28 ซีซั่น)
พวกเขาต่างมียุคที่เรียกว่า “รุ่งเรือง” ในแบบฉบับของตัวเอง แถมยังมีเม็ดเงินในการทำทีมที่สูง
ช่วยดึงดูดให้แข้งระดับโลกมากมายต่างแวะเวียนเข้ามาค้าแข้ง และเป็นส่วนหนึ่งของทีม ด้วยเสน่ห์ มนต์ขลังของทีม
บวกกับแฟนบอลที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก คงไม่แปลกใจว่าทำให้สื่อมวลชนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับเกมนี้มากเป็นพิเศษ
.
หากแต่การโคจรมาพบกันครั้งนี้ย่อมมีความพิเศษที่แตกต่างออกไป มันเป็นความพิเศษที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นนักในแง่ของความรู้สึก
เนื่องจากปัจจุบัน ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และเชลซี กำลังรั้งอันดับ 15 กับ 8 ของตารางตามลำดับ
.
แม้หลายคนจะออกมาบอกว่า ลีกพึ่งจะเริ่มไปได้เพียงแค่ 5 สัปดาห์เท่านั้น หากแต่ด้วยคุณภาพของตัวผู้เล่น และความเป็น “บิ๊กทีม”
เราคงต้องพูดกันตรงๆ ว่า ผลงานช่วงออกสตาร์ทในซีซั่นนี้ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี นั้นค่อนข้าง “น่าผิดหวัง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ฉะนั้น เกมนี้ช่วงดึกของวันเสาร์นี้ จึงเป็นเกมที่น่าจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น “ซูเปอร์ บิ๊กแมตช์”
ในสถานการณ์ที่ยากลำบากของทั้งสองทีมแล้ว หากทีมใดตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
รับรองได้ว่าหนทางที่จะกลับคืนสู่ความสำเร็จในซีซั่นนี้คงเต็มไปด้วยขวากหนาม และยากขึ้นอย่างแน่นอน
.
ผลงานชนะ 2 และแพ้ 2 จากสี่เกมแรก คือการออกสตาร์ทที่เหล่าสาวก “เร้ด เดวิลส์” ล้วนแต่อยากให้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
เพราะการตามหลังจ่าฝูงอย่าง เอฟเวอร์ตัน ถึง 7 คะแนน ดูแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะกลับมาทวงคืนบัลลังก์ความสำเร็จ
.
และที่สำคัญ ความพ่ายแพ้ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นการพ่ายคาถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทั้งสิ้น แถมยังโดนเจาะตาข่าย
ไปมากถึง 12 ประตู (เสียในบ้าน 9 ประตู) จนทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเกมรับแย่ที่สุดเป็นอันดับสองในลีก นี่คือสิ่งที่หลายๆ คนตั้งคำถาม
ว่า สุดท้ายอะไรคือจุดอ่อนของทัพ “ปีศาจแดง” กันแน่ ระหว่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา, แนวรับ หรือการเดินเกมในตลาดซื้อขายของผู้บริหาร ?
เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจุดอ่อนที่พวกเขาควรแก้ไขจากซีซั่นที่ผ่านมา ก็คือ การหานักเตะในแนวรับสักคน
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า นักเตะแนวรับระดับโลกสักคน เหมือนกับที่พวกเขาเคยมี ยาป สตัม, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมันย่า วิดิช
.
หากแต่การดื้อใช้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่นับวันยิ่งจะหมดคราบของการเป็นแนวรับค่าตัวแพงที่สุดในโลก หรือแม้แต่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ
ที่ยังไม่สามารถยกระดับฝีเท้าตัวเองให้คู่ควรกับทีมระดับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ ขณะที่ เอริค ไบญี่ เองก็ยังมีปัญหากับสภาพร่างกาย
แน่นอนว่า คีย์เวิร์ดสำคัญที่พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนคงหนีไม่พ้นคำว่า “เซนเตอร์ฮาล์ฟ”
.
จริงอยู่ที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาของความมั่นใจ ทั้งการบุกไปอัด ปารีส แซงต์ แชร์กแมง คาแดนน้ำหอม
รวมถึงการไล่ต้อน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ถึงสี่ประตู หากแต่ เชลซี ชุดนี้คือทีมที่แตกต่างออกไป แม้ว่าดูโอแนวรุกเมืองเบียร์
อย่าง ติโม แวร์เนอร์ กับ ไค ฮาเวิร์ตซ์จะยังไม่สามารถงัดฟอร์มในระดับเดียวกับฤดูกาลที่แล้วออกมา
แต่ “สิงห์บลู” ชุดนี้ ก็ยังมีสถิติเกมรุกที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ก็คือ พวกเขายิงประตูได้ 4 จาก 5 นัดที่ลงสนาม
และทุกครั้งที่มีประตู นั่นจะหมายถึงการการันตี 1 แต้มเป็นอย่างน้อย อีกทั้งพวกเขายังมีค่าเฉลี่ยการยิงประตูได้อย่างน้อย 3 ประตูในแต่ละนัด
นั่นเท่ากับว่า นี่จะเป็นเกมที่วัดกันโดยตรงระหว่างเกมรุก และเกมรับของทั้งสองทีม ว่าใครจะรักษามาตรฐานได้ดีกว่ากัน
.
ในเมื่อนี่คือเกมที่เต็มไปด้วยความกดดัน และการตัดสินครั้งสำคัญใจเพียงแค่ครั้งเดียวในเกม ก็อาจจะนำมาซึ่งชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ได้เลย
ดังนั้น หากคุณมีนักเตะสักคนที่มีแพสชั่น และรับมือกับความกดดันได้ดี นี่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถพลิกโฉมเกมนี้เลยก็เป็นได้ จึงไม่แปลกใจ
ที่หลายๆ คนจะยกให้ บรูโน่ แฟร์นานเดส ก้าวมาเป็นหัวใจที่ทีมจะขาดไปไม่ได้ เช่นเดียวกับ เอดินสัน คาวานี่ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในเกมนี้
และมีโอกาสสูงที่จะถูกส่งลงสนามในเกมนี้ แต่ทว่าพวกเขาจะไม่มี เอริค ไบญี่ ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ขณะที่ เชลซี
ต้องดูว่าประสบการณ์ของ ติอาโก้ ซิลวา นั้นจะสามารถช่วยให้ทีมเอาตัวรอดจากเกมรุกของเจ้าถิ่นได้หรือไม่ บวกกับแนวรุก
อย่าง แวร์เนอร์, ฮาเวิร์ตซ์, พูลิซิช จะสามารถจุติระเบิดฟอร์มได้พร้อมๆ กันหรือไม่ เช่นเดียวกับความสดของนายด่านร่างยักษ์ทีมชาติเซเนกัล
ที่เก็บคลีนชีทได้ 2 จาก 3 เกมที่ลงสนามให้กับ เชลซี จะเป็นตัวแปรที่ท้าทายผลการแข่งขันในเกมนี้อย่างแน่นอน
.
ด้วยสถานการณ์บนตารางคะแนนที่ยังไม่สู้ดีนักของทั้งสองทีม ดังนั้น เกมนัดนี้จึงมีค่ามากกว่า 3 คะแนนธรรมดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะนอกจากจะเป็นการพยายามโกยแต้มเพื่อทำอันดับเข้าสู่พื้นที่ฟุตบอลยุโรป และสานต่อวงล้อลุ้นแชมป์ได้แล้ว
ชัยชนะในนัดนี้ยังเปรียบเสมือนการตัดแต้มกันโดยตรงของทีมในระดับเดียวกัน แน่นอนว่า ผู้แพ้ในเกมนี้
จะถูกบีบให้เหลือทางเดินสู่ความสำเร็จที่แคบมากๆ และบางทีอาจจะแคบจนพวกเขาไม่สามารถกลับมายืนได้อีกในซีซั่นนี้
นี่คือความกดดัน และสุดท้าทายความสามารถของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจเราคงได้รู้กัน
.
โดยทั้งสองทีมจะลงทำการแข่งขันกันในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ ณ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เริ่มคิกออฟตั้งแต่เวลา 23.30 น. เป็นต้นไป
แมตช์นี้คอบอลตัวจริงพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง !!!
.
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจ
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #ManU #Chelsea #EPL