"EPL Analysis"
วิเคราะห์พรีเมียร์ลีก 2020/2021 สัปดาห์ที่ 9
ขึ้นชื่อว่าการเป็นลีกลูกหนังที่ดีที่สุดในโลก ทุกอย่างย่อมล้วนแต่ยากต่อการคาดเดาโดยเฉพาะผลงานของทีมยักษ์ใหญ่หลายๆ ทีม
ตลอดจนทีมบนหัวตารางที่พลิกไปพลิกมาตลอดเวลา นั่นแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานฟุตบอลที่สูง และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ
จนทำให้ช่องว่างระหว่างทีมขนาดใหญ่ และทีมขนาดกลางในอังกฤษถูกบีบให้แคบลงเรื่อยๆ
8 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือตัวอย่างที่บ่งบอกมาตรฐานดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หลัง เลสเตอร์ ซิตี้ ผงาดขึ้นมารั้งบัลลังก์จ่าฝูง
ด้วยการเก็บชัยชนะ 6 จาก 8 นัด ขณะที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่รั้งอันดับ 4 ก็มีแต้มตามหลังจ่าฝูงเพียงแค่สองคะแนน
ส่วนสองทีมจากแมนเชสเตอร์ และอาร์เซน่อล กลับร่วงลงไปรั้ง 10 อันดับข้างล่างแบบสุดช็อก
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ถึงสิ่งที่น่าสนใจในพรีเมียร์ลีก แมตช์เดย์ที่ 9 ว่าจะมีประเด็นใดที่น่าติดตามบ้าง
จาก "EPL Analysis" โดย Singha World Of Football
“เลสเตอร์ - ลิเวอร์พูล” #ศึกแย่งชิงบัลลังก์จ่าฝูง
การโคจรมาพบกันของ ลิเวอร์พูล และเลสเตอร์ ซิตี้ ในวีคนี้ ถูกยกให้เป็นมวยคู่เอกประกับสัปดาห์ของพรีเมียร์ลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งในเรื่องของศักดิ์ศรีการเป็นอดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกทีมละ 1 สมัยเท่ากัน รวมถึงคุณภาพการเล่นของนักเตะ แทคติก เฮดโค้ช ที่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันสุดๆ
ทั้งสองทีมมีผลงานที่ใกล้เคียงกันในช่วงหลัง โดย “จิ้งจอกสยาม” เก็บไป 9 แต้มจาก 5 นัดหลังสุดในลีก
แถมยังเป็นการชนะรวมสามเกมหลังสุดติดต่อกันอีกด้วย ส่วนยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์นั้นฟาดไป 8 คะแนนจาก 5 นัดหลังสุดในลีก
ฉะนั้น หากจะฟันธงให้ชัดว่าใครดูมีภาษีดีกว่าคงจะเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย หากแต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นล่าสุดก็คือ เยอร์เก้น คล็อปป์
ต้องเสียปราการหลังตัวหลักไปอีกคนอย่าง โจ โกเมซ หลังได้รับบาดเจ็บระหว่างเก็บตัวกับทีมชาติอังกฤษจนส่อแววว่า
อาจจะรูดม่านปิดฉากทั้งฤดูกาลตามหลัง เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ไปอีกคน นี่คือจุดที่ ลิเวอร์พูล ต้องระวังให้ดี
เพราะการต้องลงแข่งขันโดยที่ไร้ซึ่งแนวรับตัวหลักไปถึงสองคน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ใจเป็นแน่ แถมอะไหล่ที่มีอยู่ในมือ
อย่าง นาธาเนี่ยล ฟิลิปส์ หรือ รีส์ วิลเลี่ยมส์ ก็ยังเร็วเกินไปที่จะมาแบกภาระอันหนักอึ้งครั้งนี้
เอาให้ชัดๆ ง่ายๆ ณ ขณะนี้ ลิเวอร์พูล เหลือเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพที่มีประสบการณ์เพียงคนเดียวเท่านั้นคือ โจเอล มาติป
นอกจากนี้ยังมีชื่อของ ฟาบินโญ่ และติอาโก้ อัลคันธาร่า ที่ยังบาดเจ็บอยู่ และคาดว่าจะไม่มีชื่อในเกมนัดนี้ นี่คือการบ้าน
ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ คงต้องหาวิธีอุดรอยรั่วนี้ให้ได้ เพราะอย่าลืมว่า “เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์”
ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนี้สถาปนาขึ้นมาเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีก (เสีย 9 ประตู) ตลอดจนมีเกมรุกที่ดุดันมากที่สุด
เป็นรองแค่ เชลซี กับ สเปอร์ส เท่านั้น นี่คือคำตอบของความสมดุลที่ ร็อดเจอร์ส ได้ทำให้ทีมพัฒนา
และพยายามรักษาสถานะการเป็นทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์มาตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว และแน่นอนว่าความพ่ายแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล
อย่างเบ็ดเสร็จในฤดูกาลที่แล้ว เป็นส่วนสำคัญที่ส่งให้ทัพ “หงส์แดง” ก้าวสู่บัลลังก์แชมป์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไฟแห่งความแค้นนี้ได้เก็บไว้อยู่ในใจของ ร็อดเจอร์ส มาโดยตลอด และเชื่อว่าแมตช์นี้ กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือรายนี้คงไม่มีเป้าหมายอื่น
นอกจาก สามคะแนน เหนืออดีตต้นสังกัดของตนให้ได้สถานเดียว แม้ว่าจะยังไม่มีปราการหลังเตอร์กิชอย่าง โซยุนชู หรือฮาร์ดแมนไนจีเรีย
อย่าง วิลฟรีด เอ็นดิดี้ ก็ตาม ดังนั้น เกมที่แอนฟิลด์ในวันเสาร์นี้ จึงเปรียบได้กับการวัดกันแบบตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมว่า
ใครกันที่จะโชว์คาแรกเตอร์ของความกระหายในการก้าวสู่เส้นทางแชมเปี้ยนได้ชัดเจนกว่ากัน
เพราะอย่าลืมว่าบางที แค่หนึ่งคะแนนที่มากกว่ากัน ก็อาจจะหมายถึงการตัดสินหาแชมป์เลยก็ว่าได้ ดั่งที่ทัพ “หงส์แดง” เคยเผชิญมาเมื่อสองซีซั่นก่อน
#เชลซี #สัปดาห์นี้ขอบี้ตำแหน่งจ่าฝูงแบบหายใจรดต้นคอ
เช่นเดียวกับอีกทีมที่อยู่ในโอกาสทำแต้มไล่บี้ตำแหน่งจ่าฝูงอย่าง เชลซี ที่พร้อมจะทำทุกอย่างในสัปดาห์นี้เพื่อสามคะแนนสำคัญ
เพราะอย่าลืมว่าพวกเขามีแต้มตามหลัง เลสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่สามคะแนนเท่านั้น แถมยังมีประตูได้เสียที่ดีกว่า
นั่นเท่ากับว่า ในกรณีที่ “จิ้งจอกสยาม” ไม่สามารถเก็บแต้มออกจากถิ่นแอนฟิลด์ได้ - สเปอร์ส เสมอหรือแพ้ แมนฯ ซิตี้ และทัพ “สิงห์บลู”
บุกไปอัด นิวคาสเซิ่ล ได้ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ พวกเขาก็พร้อมจะทะยานขึ้นมารั้งอันดับสองของตาราง โดยตามหลัง ลิเวอร์พูล อยู่เพียงแค่สองแต้มเท่านั้น
ด้วยเกมรุกกับเกมรับที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ค่อยๆ เนรมิตให้ลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถกวาดชัยได้ถึง 4 จาก 5 นัดในทุกรายการ
พร้อมกับสถิติการไล่ถล่มประตูคู่แข่งอย่างน้อยนัดละ 3 เม็ด ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล เองก็ยังไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้คงเส้นคงวาได้
ดังนั้นเชื่อว่าแมตช์นี้ เชลซี เอาก็พร้อมจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองด้วยการเก็บอีกสามคะแนนในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค อย่างแน่นอน
ก่อนจะเตรียมทำศึกลอนดอน ดาร์บี้ กับ สเปอร์ส ในวีคหน้า !!!
#หรือไก่เดือยทองจะขอขึ้นขี่เรือใบ ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในซีซั่นนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ
เพราะนับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ต่อ เอฟเวอร์ตัน นัดเปิดสนาม สเปอร์ส ก็ไม่ยอมพลาดพลั้งต่อใครอีกเลย พร้อมกับกดชัยชนะมาถึง 5 นัด
จนถึงตรงนี้ ทัพ “ไก่เดือยทอง” กำลังติดลมบนด้วยการรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง พร้อมกับมีผลงานเทียบเท่าแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ
ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยตลอดสอง - สามฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ เองจำเป็นต้องวางหมากให้เขี้ยวลากดินมากกว่าเดิม
ตลอดจนการปรับโฟกัสไม่ยอมทำแต้มหล่นกับทีมกลางตาราง หรือท้ายตารางอีกต่อไป
แม้ว่าสกอร์อาจจะไม่ดูโหดร้ายเท่ากับการบุกไปถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงหกประตู แต่ชัยชนะเหนือ เบิร์นลีย์, ไบรท์ตัน และเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
ด้วยผลต่างเพียงแค่ประตูเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากวาดไป 9 คะแนนเต็มจากสามนัดหลังสุดในลีก
พร้อมกับการเป็นทีมที่มีเกมรุกดีเป็นอันดับ 2 และเกมรับดีที่สุดในลีกไปโดยปริยาย
แม้เกมนี้พวกเขาจะต้องลงต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งการเป็นทีมระดับท๊อปของยุโรป หากแต่เชื่อว่าแฟนบอลสเปอร์ส เอง
ก็หาได้หวั่งเกรงในทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชุดนี้แต่อย่างใด โดยเฉพาะเกมรุกของทัพ “เรือใบสีฟ้า” ที่ดูอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด
บวกกับผลงานนอกบ้านในช่วงหลังที่พวกเขายังแก้ไม่ตก ทำให้เชื่อว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่ สเปอร์ส จะขอป่าวประกาศให้โลกได้รู้กันว่า
พวกเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาโดดร่วมวงของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ โดยมีสามคะแนนในแมตช์นี้เป็นใบเบิกทางชั้นดี
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจ
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SinghaWorldofFootball #EPL #ChelseaFC #Spurs #Manchestercity #Liverpool