BACK

 

 

"Never Give Up"

19 ก.พ. 2564

"Never Give Up"
ในวันที่ "สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด" ขอสู้อีกครั้งเพื่อศักดิ์ศรีลูกหนังไทย

"วันนี้ในฐานะทีมตัวแทนประเทศไทย ผมต้องกราบขออภัยและยอมรับผิดชอบกับผลการแข่งขันในวันนี้
เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธคำติหรือใดๆ จากแฟนได้ ผมในฐานะผู้นำองค์กรต้องขอยอมรับและจะนำข้อติและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ไปแก้ไข
วันนี้ผมเจ็บปวดกับผลการแข่งขัน และหวังว่านักเตะทุกคนจะได้บทเรียนในวันนี้ไปพัฒนาตัวเองครับ เราขอยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป"

นี่คือความรู้สึกของ “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ในฐานะประธานที่ปรึกษาของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ได้ระบายออกมาหลังจากที่
ทัพ “กว่างโซ้งมหาภัย” โดน เอฟซี โซล หนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังแดนกิมจิ
(แชมป์ลีกสูงสุด 6 สมัย) ถลุงยับไปด้วยสกอร์ถึง 5-0

แน่นอนว่านี่หนึ่งในผลการแข่งขันที่ทำร้ายหัวใจเหล่าสาวก “กว่างโซ้งมหาภัย” และแฟนบอลชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะอย่าลืมว่า การเดินทางไปแข่งขันทัวร์นาเม้นต์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียครั้งนี้ สิงห์ เชียงรายฯ เดินทางไปในนาม
“แชมป์ไทยลีก” ที่ถูกยกให้เป็นลีกที่มีมาตรฐานสูงที่สุดในอาเซียน

เรียกง่ายๆ ว่าเป็นตัวแทนของประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนก็คงจะไม่ผิดอะไร

แต่ทว่าผลงานจากสามนัดที่ได้มา 0 คะแนน 0 ประตู พร้อมกับโดนเจาะตาข่ายเบ็ดเสร็จรวม 7 ลูก
มองดูแล้วนี่คงเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ และไม่วายที่จะถูกกระหน่ำไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ทั้งสื่อ และแฟนบอลบ้านรา และทั่วอาเซียนกันอย่างระงม

นี่แหละคือชีวิตจริง ชีวิตที่คุณมีทางเลือกอยู่สองทางในวันที่ล้มลง…

ทางเลือกแรก คุณยอมแพ้ และเลือกที่จะจมอยู่กับความผิดหวังกับรอยเหยียบย่ำนั้นต่อไป
พร้อมกับถูกจารึกไว้ในความรู้สึกของแฟนบอล และประวัติศาสตร์ว่า “คุณไม่สู้”

หรืออีกทางเลือกหนึ่ง แม้ว่าร่างกาย และหัวใจคุณอาจจะบอบช้ำ และเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย
หากแต่คุณก็ยังเลือกที่จะลุกขึ้นมาสู้ในอีก 270 นาทีที่เหลือ ทั้งๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะมีบาดแผลมากขึ้นกว่าเดิม
แต่อย่างน้อย ในแง่ของความรู้สึก แฟนบอลชาวไทย ก็พร้อมที่จะโอบอุ้ม และบอกคุณว่า “ไม่เป็นไร”
เพราะคุณได้สู้ในสนามอย่างเต็มที่แล้ว ในฐานะ “ความภาคภูมิใจของไทย”

นี่คือคำถามที่หลายๆ คนรอดูคำตอบอยู่ว่า พวกเขาจะเลือกแบบไหน ?

แต่แน่นอนว่า “การยอมแพ้” ไม่เคยอยู่ในสารบบของ “กว่างโซ้งมหาภัย” ทีมนี้ พิสูจน์ได้จากเส้นทางสู่ความสำเร็จจากทีมระดับภูมิภาค
สู่การพิชิตทุกโทรฟี่แชมป์ในประเทศ พร้อมกับการฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษของสโมสร
ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก 2019 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่ในฤดูกาลนั้น พวกเขาเคยร่วงหล่นลงไปอยู่โซนครึ่งล่างของตาราง
หากแต่สุดท้าย สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ก็สามารถโกงความตายด้วยการระเบิดฟอร์มสุดยอด และไม่เคยหลุดจากพื้นที่สามอันดับแรก
ในช่วง 11 สัปดาห์สุดท้าย ก่อนจะพลิกแซงทีมยักษ์ใหญ่จากแดนอีสานใต้ ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลชนิดได้ใจแฟนบอลทั้งประเทศแบบสุดๆ

อย่าลืมว่า สิงห์ เชียงรายฯ ล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีซีซั่นไหนที่ง่าย และถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบเลยแม้แต่น้อย
แถมการเป็นตัวแทนจากดินแดนล้านนาที่ผงาดโลดแล่นอยู่บนเวทีไทยลีก ทำให้ “กว่างโซ้งมหาภัย” ไม่มีทางเลือก
นอกจากต้องแบกศักดิ์ศรีความเป็นมหาอำนาจลูกหนังล้านนาลงไปในสนาม พร้อมกับประกาศลั่นต่อหน้าคู่แข่งว่า
“ฉันขอสู้ตาย เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความฝัน และเพื่อตอบแทนความหวังทั้งหมดของแฟนบอลทุกคนที่ฉันมี”

เช่นเดียวกับการลงทำศึกใหญ่ในถ้วยเอเชียครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก
ทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้แปลก และแตกต่างจากเดิมไปตลอดกาล
ฟุตบอลไทยเองก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ จนทีมค่อนประเทศต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องนอกสนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในห้วงเวลาเช่นนี้ สิงห์ เชียงรายฯ เอง ก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อความสุขของแฟนบอล และพยายามแสดงออก
ถึงความเอาจริงเอาจังในการสานต่อความสำเร็จ ทั้งการรักษานักเตะตัวหลัก และดาวรุ่งเอาไว้ค่อนทีม
รวมถึงการเสริมทัพที่แม้อาจจะไม่ได้เป็นดีลที่หวือหวาที่สุด หากแต่ชื่อของ แจ็คสัน โคเอลโญ่ หรือ “ชาช่า” ก็ยังน่ากลัวเสมอบนเวทีไทยลีก

เอฟซี โซล หรือเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองทีมทั้ง เมลเบิร์น วิคตอรี่ และปักกิ่ง เอฟซี ล้วนแต่มีประสบการณ์ในรายการนี้มาอย่างโชคโชน
(ผ่านมาเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม 6 ครั้ง และ 9 ครั้ง ตามลำดับ) ขณะที่ เอฟซี โซล นั้นเคยไปไกลถึงการเป็นรองแชมป์รายการนี้สองสมัย เทียบกับ
สิงห์ เชียงรายฯ นั้นต้องบอกเลยว่าคนละเรื่องเลยทีเดียว เพราะพวกเขาเพิ่งจะพาตัวเองเข้ามาอวดฝีเท้า ณ จุดนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเท่านั้น

แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างของคำว่า “ไม่เต็มที่” แต่อย่างใด และมั่นใจได้เลยว่า ความพ่ายแพ้ต่อ เอฟซี โซล ในเกมนัดที่แล้ว 5 ประตู
ไม่อาจทำลายวิถี และปรัชญาความเป็นนักสู้ของยอดทีมจากแดนล้านนาทีมนี้ได้อย่างแน่นอน
เพราะตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราเองก็คงต้องเดินหน้าสู้ต่อไป…

และการสู้ในครั้งนี้หาใช่การสู้เพื่อใคร หากแต่เป็นการสู้เพื่อศรัทธาของแฟนบอลเชียงราย สู้เพื่อความเป็นล้านนา
และสู้เพื่อศักดิ์ศรีการเป็นตัวแทนจากไทย ในเวทีระดับเอเชีย

จากคำตอบที่เราถามไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นว่า สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จะเลือกคำตอบใด… แน่นอนครับ
พวกเขาเลือกที่จะ “สู้” ชนิดไม่มีวันยอมแพ้ และจะขอทำเต็มที่ในทุกๆ วินาทีต่อจากนี้ เพื่อศักดิ์ศรีลูกหนังไทย

และเราก็จะขอเป็นกำลังใจให้กับการสู้ในครั้งนี้ จงสู้ให้เต็มที่ สู้ให้สุดใจ ไม่ต้องกังวลว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
ขอแค่คุณสู้ เราเองก็พร้อมจะยืนเคียงข้างคุณไม่ว่าจะวันนั้นจะจบลงด้วยเสียงหัวเราะ หรือคราบน้ำตา !!!

เราภูมิใจในตัวคุณเสมอ “สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด”

ทั้งนี้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จะลงสนามพบกับ เอฟซี โซล ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 4
ในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนนี้ เริ่มคิกออฟ 20.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจ
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!

#SWOF #ChiangRaiUnitedFC #CRUTD
#NeverGiveUp

 

 

BACK