BACK

 

 

"เมืองทองฯ VS บีจีพียู"

23 ก.พ. 2564

"เมืองทองฯ VS บีจีพียู"
วิเคราะห์บิ๊กแมตช์ เอฟเอ คัพ กับโอกาสก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ของ "บีจี ปทุม ยูไนเต็ด"

ขึ้นชื่อว่าการลงเล่นในศึกฟุตบอลถ้วย แน่นอนว่าทุกวินาทีในสนามล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย เพราะความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว
นั่นอาจจะหมายถึงความพ่ายแพ้ และร่วงตกรอบเลยก็ว่าได้ โดยไม่เกี่ยวว่าอันดับในตารางของคุณก่อนลงสนามนั้นห่างกันมากแค่ไหนก็ตาม
นั่นจึงเป็นที่มาของการเดินหน้าฝึกซ้อมเกินร้อยของทัพ “บีจีพียู” ที่ยังคงมุ่งมั่นกับทุกรายการในลงแข่งขัน
ไม่ว่าจะเป็นศึกไทยลีก 1 หรือแม้แต่ฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ 2020 รอบ 32 ทีมสุดท้าย

แม้ว่าจะการันตีการผ่านเข้าไปสู่รอบแบ่งกลุ่มในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021 ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เส้นทางในลีกก็ยังเป็นใจ หลังยังสามารถรักษาสถิติไร้พ่าย พร้อมกับกวาดชัยไปได้ถึง 11 จาก 13 เกม รวมถึงการเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีก
ตลอดจนการเสริมทัพในเลกที่สองที่เรียกได้ว่าดุดันที่สุดเหนือใครอย่างเห็นได้ชั้น

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จริงจัง และมุ่งมั่นที่จะยกระดับตัวเองให้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของประเทศ และของภูมิภาคอาเซียนให้ได้โดยเร็วที่สุด
ฉะนั้น การลงเล่นในศึกฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ ซีซั่นนี้ จึงเป็นโอกาสอันดี ที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน
จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า การผงาดขึ้นมาเป็นทีมนำบนหัวตารางด้วยฟอร์มอันอุกอาจเช่นนี้หาใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
หากแต่มาจากความตั้งใจจริงของทุกๆ คนในสโมสร หากแต่คู่ต่อสู้ในรอบนี้ (รอบ 32 ทีมสุดท้าย) ของทัพ “บีจีพียู” คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ที่กำลังใช้เลือดกิเลนปลุกกิเลนทีมนี้ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งอย่าง มาริโอ ยูรอฟสกี้

หากเราวัดกันที่ผลงานในลีก แน่นอนว่า “กิเลนผยอง” อาจจะไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ที่ดูน่าหวั่นเกรงแต่อย่างใด หากแต่แพสชั่น และเลือดใหม่ๆ
ที่ ยูรอฟสกี้ เติมเข้าไปเป็นหัวเชื้อให้กับนักเตะชุดนี้ เราคงต้องบอกว่า ตราบใดที่โลกยังไม่ล่มสลาย เอสซีจี เมืองทองฯ
ก็ยังคงศักดิ์ศรีความเป็นเป็นทีมใหญ่ที่ใครก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน

“ซูเปอร์ มาริโอ” อาจจะไม่ได้เป็นกุนซือที่มีประสบการณ์มาก่อน หากแต่บารมีความเป็นอดีตนักเตะเอสซีจี เมืองทองฯ ที่ผ่านการค้าแข้งในบ้านเรามาอย่างโชคโชน
บารมี คาแรกเตอร์ที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แถมยังเปี่ยมไปด้วยแพสชั่นที่แสดงออกข้างสนามชนิดไม่ปิดบังใคร คือแรงกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้แข้งเลือดใหม่ “กิเลนผยอง”
พร้อมจะลงเล่นถวายหัวให้กับเขา การเพรสซิ่งที่บีบให้คู่แข่งพลาดเร็วที่สุดเพื่อเปลี่ยนบอลกลับมาเล่นเกมรุกอีกครั้ง คือจุดแข็งที่ ยูรอฟกี้ ทำไว้ได้อย่างโดดเด่น

หากแต่ถ้าวัดกันในเรื่องประสบการณ์ แน่นอนว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยังถือว่าได้เปรียบ บวกกับภารกิจลงพิชิตทีมเก่าของแข้งหลายๆ คน
ทั้ง สารัช อยู่เย็น, เจนรบ สำเภาดี, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ หรือแม้แต่ สิโรจน์ ฉัตรทอง ที่ลับความคมขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งความหวัง-อาวุธเด็ดของทีม
แน่นอนว่าเกมนี้ย่อมเต็มไปด้วยความมันส์ในสนามอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าความสำเร็จในศึกเอฟเอ คัพ ย่อมถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ต้องตั้งเป้าพิชิตโทรฟี่แชมป์ให้ได้
เพราะนี่คือช่องทางในการเพาะบ่มดีเอ็นเอแห่งความสำเร็จชั้นดี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการสร้างคาแรกเตอร์ความเป็นผู้ชนะให้กับสโมสร
และต่อยอดไปสู่การสานต่อความสำเร็จในอนาคต ดังนั้น ไม่ว่าคู่ต่อสู้ข้างหน้านั้นจะเป็น เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หรือจะเป็นใคร
สิ่งเดียวที่แข้ง “บีจีพียู” นั้นต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจนั่นก็คือ “ลงไปเล่นในสนามให้เต็มที่ และเดินออกมาพร้อมกับชัยชนะ” เท่านั้น
ดังนั้น โทรฟี่เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ และสานต่อความสำเร็จของ "บีจี ปทุม ยูไนเต็ด" อย่างแท้จริง !!!

สำหรับโปรแกรมของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในรายการเอฟเอ คัพ 2020 รอบ 32 ทีมสุดท้ายนั้น จะบุกไปเยือน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ณ สนามเอสซีจี สเตเดี้ยม ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคมนี้ เริ่มคิกออฟตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป สามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทาง AIS PLAY

ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจ
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!

 

 

 

BACK