"MANCHESTER DERBY" ศึกศักดิ์ศรีปลุก "ปีศาจแดง" คืนชีพอีกครั้ง ?
ความพ่ายแพ้ต่อ แอร์เบ ไลป์ซิก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จนทำให้ทัพ “ ปีศาจแดง” ร่วงตกรอบศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อาจจะถือเป็นอีกหนึ่งจุดต่ำสุดของพวกเขาในซีซั่นนี้ ตามมาด้วยสถิติสูดบู่มากมายทั้งเป็นการร่วงตกรอบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2015-2016 (หลุยส์ ฟาน กัล), เสียประตูอย่างน้อย 3 เม็ดในรายการนี้ 2 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2003
รวมถึงผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่คุมทีมแพ้เป็นนัดที่ 6 จาก 10 เกมในศึกยูซีแอล
ถือเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรจากอังกฤษคนแรกที่แพ้ตั้งแต่ 6 นัดขึ้นไปใน 10 เกมแรกที่ทำหน้าที่ในรายการนี้
ความชอกช้ำจากผลงาน และสถิติอันย่ำแย่ในถ้วย “บิ๊กเอียร์ส” ทำให้เหล่าสาวก “เร้ด เดวิลส์” ทั้งโลก
ได้ออกมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า เราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันแบบนี้จริงๆ เหรอ ?
ด้วยศักดิ์ศรีการเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษมากที่สุด รวมถึงเคยทีมที่กวาดโทรฟี่จ้าวยุโรปมาวางในตู้โชว์ได้อีกถึงสามหน
ยังไม่นับศักดิ์ศรีของการเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องในสนาม และนอกสนามมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง
แน่นอนว่า สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ได้สั่นคลอนบัลลังก์ต่างๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยเป็นเจ้าของอยู่อย่างรุนแรง
ใช่ครับ พวกเขากำลังสูญเสียสถานะการเป็นทีมฟุตบอลระดับท็อปของอังกฤษ และโลกลูกหนัง...
นั่นจึงเป็นที่มาของความสำคัญกับ “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” หนนี้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีทางเลือกเลย
นอกจากจำเป็นต้องใช้เกมนัดนี้เป็น “Turning Point” หรือ “จุดเปลี่ยน” ในการเรียกศรัทธา และทำให้สถานการณ์ต่างๆ กลับมาเป็นใจพวกเขาอีกครั้ง
19 คะแนน จาก 10 นัด พร้อมกับผลต่างประตูได้เสียที่บวกเพียงสองประตู จริงอยู่ว่านี่คือผลงานที่ “ไม่ดีพอ” และ “ไม่คู่ควร” กับยอดทีม
อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากแต่ถ้าเราลงเนื้อในจริงๆ จะเห็นว่า นี่คือฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านของศึกพรีเมียร์ลีก
เพราะหากแข้ง “ปีศาจแดง” สามารถคว้าชัยในนัดตกค้าง 1 แมตช์ได้ พวกเขาจะบีบช่องว่างมีแต้มตามหลังจ่าฝูง
อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และลิเวอร์พูล เหลือเพียงแค่สองแต้มเท่านั้น
นอกจากนี้ สามคะแนนในศึก “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” ยังสามารถช่วยให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และลูกทีมขยับหนีห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เป็นสี่คะแนนได้อย่างโล่งอกสบายใจ และนั่นจะเป็นการกำจัดคู่แข่งในการแย่งชิงตั๋วไปลุยถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้อีกหนึ่งทีม
และเมื่อมาดูสถิติย้อนหลังที่ทั้งสองทีมพบกัน (นับเฉพาะพรีเมียร์ลีก) จะเห็นได้ว่าค่อนข้างสูสี โดยฝั่ง “ปีศาจแดง” คว้าชัยไปได้ 4 นัดด้วยกัน
บวกกับเกมรุกในลีกที่กดไป 10 ประตูจนสามารถพาทีมคว้าชัยได้ตลอด 4 แมตช์หลังสุดในลีก (เอฟเวอร์ตัน, เวสบรอมฯ, เซาธ์แฮมป์ตัน, เวสต์แฮม)
หากเราจะบอกว่า จริงๆ แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้แย่อย่างที่หลายๆ คนรู้สึกก็ยังพอจะเป็นไปได้อยู่
แต่ความน่าขบขันอย่างหนึ่งก่อนที่ ศึก “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” จะเริ่มขึ้นก็คือ ในซีซั่นนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่เล่นในบ้านได้ย่ำแย่อย่างน่าใจหาย
ความได้เปรียบจากการลงเล่นบนผืนหญ้าในโรงละครแห่งความฝัน กลายเป็นนิยายปรัมปราที่ไม่มีใครพูดถึงช่วงก่อนนอนอีกต่อไป
ตัวเลข และสถิติดังกล่าวคือความจริงที่เป็นนิรันดร์ไม่มีใครบิดเบือนได้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่เล่นในบ้านได้ย่ำแย่มากที่สุดเป็นอันดับสี่ของพรีเมียร์ลีก
หลังลงเล่นไป 5 เกม ชนะ 1 เสมอ 1 และปราชัยไปถึงสามหน พร้อมกับการลั่นกระสุนใส่คู่แข่งได้เพียงแค่สามเม็ด ก่อนจะโดนถลุงตาข่ายยับไปกว่า 10 ประตู
ฉะนั้นการลงเล่นในเกมที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง และความกดดันอย่าง “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จึงจำเป็นต้องวางแทคติกที่รัดกุมเป็นพิเศษ
และความละเอียดในการ “จบสกอร์” และ “การเล่นเกมรับ” จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ “ปีศาจแดง” ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการหลังจบ 90 นาที
ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพราะอย่าลืมว่า ทัพ “เรือใบสีฟ้า” ก็มีจุดอ่อนในการลงเล่นเป็นทีมเยือนเช่นกัน นั่นคือเกมรุกที่กดไปเพียง 6 ประตูจาก 5 นัดนั่นเอง
นี่คือความสำคัญที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกาย และแรงใจทั้งหมดที่มี เพื่อชัยชนะ และสามคะแนนเหนือคู่ปรับร่วมเมืองในช่วงสุดสัปดาห์นี้
ไม่ใช่เพื่อใครที่ไหน หากแต่เล่นเพื่อศรัทธาที่แฟนบอลมอบให้ เพื่อการรักษาสถานะความเป็นบิ๊กทีม และเพื่อความสำเร็จที่ยังมีโอกาสเป็นไปได้
ตราบใดที่ใจของ “ปีศาจแดง” ดวงนี้ยังสู้เพื่อตราโลโก้ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ตรงอกซ้าย…
ไม่แน่ว่า หลังจากผ่านค่ำคืนอันย่ำแย่ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมา… “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” หนนี้
อาจจะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ช่วยปลุก "ปีศาจแดง" ทีมนี้ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งก็เป็นได้...
ศึก “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะถืออุบัติขึ้น
ในคืนวันเสาร์ที่ 12 ธันวาคมนี้ (เช้าวันอาทิตย์) ณ รัง “โอลด์ แทรฟฟอร์ด” เริ่มคิกออฟตั้งแต่เวลา 00.30 น. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ แฟนฟุตบอลชาวไทย และคอบอลอังกฤษทุกท่าน เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ จากทาง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก
การถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสู่คนไทย 3 ฤดูกาลเต็ม พร้อมเต็มอิ่ม อัดแน่นครบทุกการวิเคราะห์ และทุกเรื่องราวที่น่าสนใจ
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลไทย และฟุตบอลรอบโลกได้ทางเพจ Singha World Of Football คอบอลตัวจริง ห้ามพลาด !!!
#SWOF #ManU